วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ิิ'' BRAM STOKER - COUNT DRACULA ''


                                        BRAM STOKER - COUNT DRACULA

                                                         
     ท่านผูอ่านเคยได้ยินชื่อ Vlad the Impalor บ้างไหมเอ่ย ?  ถ้าเปล่าเคย  ก็มิต้องเป็นกังวล  ค่อย ๆ อ่านไปแล้วท่านก็ย่อมจะถึงบางอ้อเองครับ  Vlad the Impalor หรือวลัดจอมนักเสียบ  เป็นเจ้าผู้ครองนครที่มีชื่อเกือบจะเป็นไทย ๆ คือชื่อนครวัลลาชัย  เมื่อห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว  ลือกันว่าเจ้าหลวงเมือง วัลลาชัย ตนนี้ท่านอำมหิตโหดเหี้ยมผิดผู้คน  บรรดาประชาราษฎร์ที่อยู่ในบังคับ  หรือแม้แต่ผู้ใกล้ชิดของท่าน  ลงได้กระทำความผิดแล้วโทษทันณฑ์ที่ได้รับก็มีสถานเดียว  คือเอาตัวไปเสียบประจาน  ครั้นเสียบมาก ๆ เข้า คือเสียบกันร่วมแสน ๆ คิดเป็นร้อยละก็ร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้คนพลเมือง  เจ้าโหดตนนี้ก็เลยได้รับการการขนานนามว่า The Impalor - จอมนักเีสียบ

                                                           เบลลา  ลูโกซี่
    ในสมัยที่เจ้าหลวงวลัด ตนนี้นั่งเมือง  คือในสมัยคริสตศตวรรษที่สิบสีตอนปลาย ๆ นครวัลลาชัยเป็นหัวเมืองเอกของแคว้นทรานซิลเวเนีย  ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรูมาเนียปัจจุบัน  เจ้าหลวงวลันมีปราสาทใหญ่อยู่ในหุบเขาคาร์เปเธียน  ทางพรมแดนด้านเหนือเขตติดต่อกับแคว้นยูเครนของสหภาพโซเวียต  เมื่อยังมีชีวิตอยู่เจ้าหลวงวลันท่านมีชื่อเรียกขานกันลับหลังอยู่อีกชื่อหนึ่งคือ  ชื่อ  "ราชบุตรของยมบาล"


     คำว่าราชบุตรยมบาล  ถ้าออกสำเนียงฮังกาเรียนอันเป็นภาษาถิ่นของชาวแคว้นทรานซิลเวเนียให้ฟังกันชัด ๆแล้วท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านก็ต้องร้องอ๋อยาว ๆ  ออกมาด้วยความซึมทราบทันที่  ราชบุตรของยมบาลนั้น  ชาวแคว้นทรานซิลเวเนียเขาเรียกกันว่า


      แดร็กคิวล่า !! ปีนี้เป็นปีที่หนึ่งร้อยถ้วน ๆ ที่มีผู้ปลุกเอาผีดิบแดร็กคิวล่าให้ลุกขึ้นมาอาละวาด  ฉะนั้นข้ออนุญาตผู้อ่าน ขอทำบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบสักตอน  ท่านผู้อ่านครับ !!  คนหัวแหลมที่ไปปลุกผีดิบแดร็กคิวล่าขึ้นมาเขย่าขวัญชาวโลก  จนร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำไปอย่างรวดเร็วทันใจนั้น  เป็นเสมียนศาลเมืองดับบลิน ประเทศไอร์แลนด์เหนือ เป็นคนไอริชชึ่อ แบรม ซะโต๊คเกอร์ แบรมก็เป็นคำย่อของชื่ออับบราแฮมตามแบบฉบับของชาวไอริช เมื่อเป็นเสมียนศาล  แบรมเคยร่วมไปกับคณะชันสูตรพลิกศพผู้ที่ถูกพวกกบฏลอบฆ่าตายเป็นเบื่อ  ได้เห็นเลือดเห็นเนื้อจนเคยชิน  ประกอบกับตอนนั้นนวนิยายขายดีเรื่องนักสืบเชอร์ลอคโฮมส์ กำลังมาแรง  แบรมซึ่งรักการอ่านการเขียนก็อยากจะเอาอย่างบ้าง จึงเอ่ยปากเพื่อนฝูงว่าอีกสักหน่อยเขาจะเขียนเรื่องสยองขวัญบ้าง  เขียนกันให้เลือดเปรอะหน้ากระดาษเลยที่เดียว  และพอบอกเพื่อนบอกฝูงได้ไม่นาน  แบรมก็ลาออกจากงานศาล  เดินทางเ้ข้าไปต่อสู้กับชีวิตที่แสนจะสับสนในกรุงลอนดอน  และไปได้งานที่โรงละครแห่งหนึ่ง  โรงละครแห่งนี้มีเซอร์เฮนรี่ เออร์วิง  ดาราที่มีชื่อเสียงเป็นหุ่นส่วนใหญ่  ขณะที่แบรมไปได้งานที่นั่น  โรงละครแห่งนั้นกำลังแสดงเรื่อง The flying Dutchman เรื่องลึกลับโลดโผนซึ่งมีเซอร์เฮนรี่ เออร์วิงแสดงเป็นตัวชูโรง 


     บุคลิกภาพของเซอร์เฮนรี่ เออร์วิงเป็นที่ติดตาตรึงใจของหนุ่มน้อยชาวไอริชคนนี้เป็นอย่างมาก  มากจนคิดว่าถ้าจะเขียนนวนิยายสยองขวัญเมื่อไหร่  ก็จะจำลองเอาแบบของเซอร์เฮนรี่มาเป็นบุคลิกของตัวเอกของนวนิยายเลือดเปรอะหน้ากระดาษของตน  ทั้งที่ตนเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเขียนไปในทำนองไหน  และให้ชื่อเรื่องว่าอะไร จนกระทั้ง  จนกระทั้งมีเวลาพอที่จะเข้า บาร์ได้ จึงพอจะมองเห็นช่องทาง คำว่าเข้าบาร์ของคนอังกฤษนั้นแปลว่าเข้าเรียนกฏหมายในสำนักสอนกฏหมายที่เรียกว่าอินน์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่หลายอินน์ด้วยกัน  ไม่ใช่เข้าบาร์เหล้าหรือเข้าห้องกรง
                                                            คริสโตเฟอร์  ลี

     เมื่อเข้าเรียนกฏหมายแล้ว  แบรมก็ได้มีโอกาสสนิทสนมกับศาสตราจารย์ อาร์มินิอุส  แวมเบอรี่ นักวิชาการกฏหมายชาวฮังเกเรียน  ซึ่งได้รับเชิญให้มาสอนวิชากฏหมายเปรียบเทียบ  ศาสตราจารย์ อาร์มินิอุส  แวมเบอรี่ ก็คงจะเหมือนคนพลัดบ้านหลงเมืองทั่ว ๆ ไป  ซึ่งพอคิดถึงบ้านหนักเข้าก็อดเล่าเรื่องแปลก ๆ  ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของตนให้ผู้ใกล้ชิดฟังพอเป็นเครื่องระลึกถึงความหลัีง  และในคืนวันหนึ่งแบรมก็ได้รับฟังเรื่อง Vlad  the Impalor   จากปากของท่านศาสตราจารย์เอง  พอท่านศาสตราจารย์เล่าถึงชื่ออีกชื่อหนึ่งของ Vlad  the Impalor    คือชื่อ แดร็กคิวล่า แบรมก็บังเกิดความประทับใจ  พยายามฟังเรื่องราวของแดร็กคิวล่าตั้งแต่ต้นจนจบ  จบแล้วก็สารภาพกับศาสตราจารย์แวมเบอรี่ว่า  ตนเองตั้งใจจะเขียนนวนิยายสยองขวัญมานานแล้ว  แต่ยังหาชื่อเรื่องและหาเค้าโครงเรื่องไม่ได้เพิ่งจะมาได้วันนี้ พร้อมกันนั้นก็ได้ขอร้องให้ท่านศาสตราจารย์ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา  ซึ่งทางศาสตราจารย์แวมเบอรี่ก็ตอบตกลง  และก็ด้วยเหตุนี้   ในปีต่อมาคือปี ๑๘๘๗  นวนิยายสยองขวัญเรื่องแดร็กคิวล่าก็ปรากฏออกมาสู่สายตานักอ่าน



      บุคลิกของเคานท์  แดร็กคิวล่านั้นจำลองไปจากเซอร์เฮนรี่  เออร์วิง และศาสตราจารย์แวมเบอรี่ก็กลายเป็นศาสตราจารย์อับบราแฮมแวนเฮลลิงอย่างรู้กัน  หนังสือเรื่องแดร็กคิวล่าได้รับการตอนรับอย่างกว้างขวาง  มีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศไม่ต่ำกว่า ๓๔ ภาษา      แบรม ซะโ๊ต๊กเกอร์นอนกินลิขสิทธิ์ค่าเรื่องจนถึงแก่กรรมในปี ๑๙๑๒   



     ต่อมาในปี ๑๙๒๗  เพื่อนสนิทคนหนึ่งของแบรม  ซะโต๊กเกอร์  ชื่อ  แฮมิลตัน ดีน เกิดมีความคิดขึ้นมาว่าเรื่อง สยองขัญเรื่องนี้  น่าจะมีการนำมาทำเป็นละครเรื่องใหญ่  จึงระดมหุ้นส่วนจัดการแสดงขึ้นที่โรงละครโคเวนท์การ์เดนท์  ตัวชูโรงคือตัวเคานท์แดร็กคิวล่านั้น  ตกลงให้เบลลา  ลูโกซี่  ดาราใหญ่สวมบทบาท  ลูโกซี่  มีเชื้อสายฮังเกเรียน  ฉะนั้นจึงรับบทบาทและออกสำเนียงเสียงพูดได้ซาบซึ้งถึงใจพระเดชพระคุณ  ในวันแสดงรอบปฐมทัศน์นั้นปรากฏว่ามีคนดูเป็นลมเอิ้กอ้ากไป  ๒๙ คนและคนดูอีกนางหนึ่งคลอดลูกก่อนกำหนดออกมาจนคาวเลือดไปทั่วโรงละคร  ในรอบต่อ ๆ มาจึงได้มีการจัดหมอจัดพยาบาลจากโรงพยาบาลควีนอะเลกซานดร้ามาเตรียมไว้คอยบำบัดรักษา  คนดูที่พาลเป็นลี้เป็นลม  ตรงหน้าโรงละคร มีป้ายประกาศหราว่าทางโรงละครไม่รับผิดชอบในกรณีที่คนดูเกิดมาช็อคหรือมาหัวใจวายตายในโรง  ละครเรื่องนี้ย้ายไปแสดงที่บรอดเวย์  นิวยอร์คในปีต่อมา


     และปีนั้นก็เ้ป็นปีทองของโรงถ่ายหนังฮอลีวู้ด  เป็นปีที่มีการถ่ายทำหนังพูดออกมาเสนอฉายให้คนดูเป็นครั้งแรก ( หมายเหตุ : หนังพูดเรื่องแรกคือหนังเรื่อง The Jass Singer ผลิตโดยบริษัทวอเนอร์  บราเดอร์ ) เมื่อแมวมองเห็นว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังประเภททำเงินทำทองชนิดดีหนึ่ง ลูโกซี่  ก็ถูกประมูลตัวด้วยเงินจำนวนมหาศาลให้ไปนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยที่เดียว  ลูโกซี่ผูกขาดในการแสดงเป็นแดร็กคิวล่า หลายหน  จนถึงแก่กรรมในปี ๑๙๕๖ เล่ากันว่าชุดที่เจ้าภาพแต่งให้กับศพของลูโกซี่ในวันฝังนั้น  คือชุดเสื้อคลุมของเคานท์แดร็กคิวล่านั่เอง


         ในปี ค.ศ. ๑๙๕๘  คือสองปีหลังจากที่ลูโกซี่ถึงแก่กรรม  บรรดาผู้บริหารของกองถ่ายแฮมเมอร์  ฟิลด์  ของอังกฤษ เห็นว่าถ้าเลือกตัวเคานท์  แดร็กคิวล่าได้เหมาะเจะแล้ว  หนังเรื่องนี้ถ่ายทำอีกกี่ครั้ง ๆ  ก็ไม่มีวันขาดทุน  จึงได้มีการเสาะแสวงหาตัวผู้แสดงเข้าทำนองพลิกแผ่นดินหา  ผลสุดท้ายก็ตกลงได้  คริสโตเฟอร์  ลี นักกีฬาเอกที่สูงหกฟุตห้านิ้วมาแสดงเป็นตัวท่านเคานท์  แดร็กคิวล่า

                                                           คริสโตเฟอร์  ลี
       วิจารณ์กันว่าบทบาทของแดร็กคิวล่าที่สวมบทบาทโดย คริสโตเฟอร์  ลีนั้น  แพ้บทบาทของ เบลลา  ลูโกซี่  อย่างชนิดหายห่วง  คริสโตเฟอร์  ลี นั้นมีลักษณะละมุนละม่อมเหมือน ดักกลั้ส  แฟร์ แบ็งค์  ผู้พ่อ  ฉะนั้นแฟนแดร็กคิวล่า  โดยเฉพาะที่เป็นอิตถีเพศแทนที่จะเกรงกลัว  กลับขยับเข้าใกล้  วี้ดว้ายอยากให้แดร็กคิวล่าลี  กัดคอเพื่อสูบเลือด  ซึ่งก็เป็นทางทำมาหาได้ของผู้ผลิตไปในอีกรูปแบบหนึ่ง  สรุปแล้วเรื่องแดร็กคิวล่าของ  แบรม  ซะโต๊กเกอร์  ถ้านำมาถ่ายทำเป็นหนังเมื่อไหร่ ๆ แล้ว  ก็ไม่มีทางที่จะขาดทุนกำไร 


        ส่วนปัญหาว่าหนังเรื่องนี้จะเข้าฉายโรงไหน ๆ ในเมืองไทยนั้น ( ปีที่พูดถึงภาพยนต์เรื่องนี้เป็นปี ๒๕๓๑ ยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ส่วนใหญ่ผมเองชมมาเกือบทุกเรื่องทุกตอน ใน ทีวี เป็นSeries. ผมก็ได้ชมตอนเด็ก ๆ ผมจำได้ เป็นภาพยนตร์ ขาวดำ ปัจจุบันพอจะหาชมใน Youtube ได้บ้างครับ) เรื่อง บานาบัส ใน ทีวี สีไว้ทุกข์ ครับ



                                                     _______________________                      สัมพันธ์  จันทร์ผา

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความ (ไม่ลับ) ของ 007




          .....หนังบู๊ล้างผลาญประเภทจารชนสายลับดับเบิลครอสส์นั้น  ถ้าเป็นหนังที่ถ่ายทำกันในโรงถ่ายใหญ่ ๆ ของฮอลลีวู้ด  หรือที่โรงถ่ายไพน์วูู้ด  คือถ่ายทำกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ 
ไม่ใช่ทำกันอย่างสุกเอาเผากินแล้ว  ก็นับได้ว่าเป็นมหกรรมบันเทิงอีกประเภทหนึ่งที่โลกยอมรับนับถือ   แฟนหนังหรือคอหนังประเภทจารชนหรือสายลับนั้น  จะมีตั้งแต่มุขบุรุษผู้เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง  ไปจนถึงคนเดินดินกิน พิชแอนด์ชิพส์  หรือข้าวราดแกง  รัฐบุรุษชั้นนำอย่างท่าน  ไอ๊คเซนเฮาเออร์ ท่าน เคนเน็ดดี หรือท่าน คึกฤทธิ์ ของเรา  ต่างก็ตั้งตนเป็นแฟนขนานแท้ของหนังประเภทนี้  โดยเฉพาะท่านเคนเน็ดดีนั้น  ถึงกับเคยบอกผู้ใกล้ชิดว่าหนังประเภทสายลับนั้นจัดว่าเป็นเครื่องประเทืองปัญญาอีกอย่างหนึ่งของท่าน  ลือกันว่าหนังสายลับดี ๆ มักจะมีฉายที่ห้องฉายเล็กสุดปีกซ้ายของพระราชวังบั๊คกิงแฮมเหมือนกัน - แต่ก็ดูเหมือนจะมีนาน ๆที......





             .....ครับนี้ตอนผมเป็นวัยรุ่นผมชอบหนัง เจมส์ บอนด์มาก ๆ แม้แต่ปัจจุบันอายุเริ่มจะเยาว์วัยเต็มที แต่พอได้ยินเพลง Walk  don't  run  ซึ่งเป็นเพลงขึ้นไตเติล เราจะรู้ได้ทันทีว่าเจมส์  บอนด์  มือพิฆาตที่ใช้รหัส ๐๐๗ ของหน่วยสืบราชการลับแห่งสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบทที่ ๒  ผมก็จำไม่ได้อีกเหมือนกันว่าได้เคยดูทีวีดูหนังเรื่อง เจมส์ บอนด์มากี่ครั้งกี่หนกันแน่  แต่เท่าที่พอจะจำได้ชัดเจนนั้น  หนัง  เจมส์ บอนด์  ได้รับการถ่ายทำเป็นหนังทีวีขาวดำออก  บีบีซีช่องสอง เมื่อปี ๒๔๙๗ หลังผมเกิด เจ็ดปี ที่จำได้เพราะก่อนหน้าที่ที่จะออกอากาศหนังเรื่อง Casino Royal ซึ่งสร้างจากบทประพันธ์ขายดีของนักเขียนหน้าใหม่ชื่อ Ian Fleming

                                                               The original James Bond (1954) 
                                                      BARRY NELSON


            .....บีบีซีได้เสนอข่าวเรื่องการจัดตั้งองค์การซีโต้ขึ้นในประเทศไทยหนังทีวีขาวดำเรื่องนี้  ทางผู้สร้างได้ไปจับเอาตัว Barry Nelson ดาราละครอังกฤษวึ่งมีหน้าตาแบน ๆ มาแสดงเป็นตัวพระเอกคือตัว เจมส์  บอนด์  อาจจะเป็นเพราะบทชุ่ย  หรืออาจจะเป็นเพราะเพราะเทคนิคในการถ่ายทำยังไม่พัฒนา  หนังทีวีชุดนี้จึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

                                                                           David Niven

           .....นวนิยายเรื่อง   Casino Royal    เป็นนวนิยาย  เจมส์  บอนด์  เล่มแรกของ เอียน  เฟลมมิ่ง ที่ได้รับการพิมพ์จำหน่ายในปี ๒๔๙๕  และได้รับการต้อนรับจากบรรดาผู้อ่านอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง  ผู้สร้างหนังทีวีรายหนึ่งมองเห็นช่องทางที่จะทำมาหาได้กับนวนิยายเรื่องนี้  ก็เลยรีบซื้อลิขสิทธิ์เอาไปทำหนังทีวีแต่แล้วก็ไม่ได้รับความสำเร็จอย่างที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น  ความล้มเหลวของผู้สร้างรายนี้ยังผลให้ผู้สร้างรายอื่น ๆ บังเกิดความขยาด  ไม่กล้าเสี่ยงทำเรื่อง    เจมส์  บอนด์    ทั้ง ๆ     ที่ความนิยมในการอ่านนวนิยายเรื่องนี้เพิ่มขึ้น จนเอียน  เฟลมมิ่ง ต้องเขียนสนองความต้องการของโรงพิมพ์  เพื่อสนองตัณหาของบรรดานักอ่านทยอยกันออกมาเรื่อย ๆ จนเกือบ ๆ จะถึงสิบตอน


                                                                Ian Lancaster Fleming
            .....มาถึงตอนนี้แล้วบางท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าชื่อของ เจมส์  บอนด์  มีที่มาที่ไปอย่างไรช่วยจำไว้หน่อยหนึ่งว่า  เอียน  เฟลมมิ่ง ยอมรับว่าเขาได้ขอยืมเอาชื่อมาจาก นักปักษีวิทยาคนสำคัญคนหนึ่งชาวอเมริกัน  ผู้เขียนหนังสือเรื่อง   Birds of the West Indies และนามสกุล Bond นั้น ถ้าจะออกเสียงให้ถูกต้องนั้น ต้องออกเสียงว่า
โบง์นด์ คือมีเสียง "ง" เป็นตัวช่วย "น" สะกดอยู่นิด ๆ เฟลมมิ่งให้เหตุผลว่า ที่เลือกเอาชื่อนี้มาใช้เพราะ ชื่อนี้เป็นชื่อที่สั้นกระทัดรัด แต่ฟังดูจริงจัง



            .....ย้อนกล้บไปพูดถึงเรื่องการทำหนัง เจมส์  บอนด์  กันใหม่ ซึ่งหลังจากหนังทีวีเรื่อง  Casino Royal  ได้ถูกลืมไปโดยปริยายเปนเวลาแปดหรือเก้าปีแล้วก็มีผู้อำนวยการสร้างของบริษัท ไอเอินโพรดักชั่น ของอังกฤษนายหนึ่ง ชื่อ  แฮรี่  ซอลท์ซ์มัน
ซึ่งเป็นแฟนขนานแท้และดังเดิมของ เอียน  เฟลมมิ่ง บังเกิดความสนใจที่จะสร้างหนังเรื่อง เจมส์  บอนด์ ขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อนำความไปปรึกษากับ อัลเบอร์ต อาร์.บรอคคอลิ
ผู้อำนวยการสร้างร่วม  บรอคคอรลิ  ก็เห็นดีเห็นงามด้วย  จึงได้นัดหมายเพื่อพบปะ และหารือกับ เอียน  เฟลมมิ่ง ในรายละเอียดใหญ่น้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการคัดเลือกเอา
ตอนที่ดีที่สุดมาถ่ายทำเป็นปฐมฤกษ์ สำหรับผู้ที่จะจับตัวมาสวมบทบาท เจมส์  บอนด์ นั้น
 ซอลท์ซ์มัน และเพื่อนร่วมงานคือ บรอคคอรลิ ได้หมายตาหมายตัวไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังปิดเป็นความลับเพราะยังอยากจะฟังเสียงหรือยากจะถามใจ เอียน  เฟลมมิ่ง ดูก่อน



           .....ในวันนัดพบปะปรึกษาหารือกันนั้น  ทั้งสองฝ่ายต่างเจรจาตาอ้วยกันฉันท์มิตรที่คิดจะทำหนังใหญ่ร่วมกัน  ได้มีการคัดเลือกเอาตอนที่ เฟลมมิ่ง เห็นว่าเป็นตอนที่ดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าอีกหลายตอน มาถ่ายทำเป็ปฐมฤกษ์ ซึ่งผลสุดท้ายก็เลือกได้ตอน เจมส์ บอนด์ พิชิต Dr.No เสร็จจากการคัดเรื่องแล้ว ก็มีการคัดเลือกตัวดาราที่จะเอามาสวมบทบาท   เจมส์  บอนด์   ซึ่งพอได้ยินรายชื่อที่   เอียน  เฟลมมิ่ง    เสนอมาแล้ว 
ผู้อำนวยการทั้งคู่ก็แทบจะเป็นลมตกเก้าอี้ตาย ดาราที่ เอียน เฟลมมิ่ง เสนอมาให้เลือกนั้นมีรายชื่อเรียงตามลำดับตัวอักษรดังนี้ ริชาร์ เบอร์ตัน, สจ๊วต เกรนเจอร์, แครี แกร้นท์



           .....ซอลท์ซ์มัน  ต้องตั้งสติอยู่เป็นนานจึงสามารถอธิบายให้ เฟลมมื่ง 
เข้าใจได้ว่า หนังประเภทจารชนหรือสายลับนั้น เป็นหนังที่ยังเสี่ยงต่อการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าจะเลือกเอาดาราใหญ่คนใดคนหนึ่งในจำนวนสามคนที่กล่าวนามมาข้างต้น
ซึ่งเป็นที่ต้องประสงค์ของ เฟลมมิ่ง ให้สรวมบทบาท เจมส์ บอนด์ แล้ว ค่าตัว ของดารา 
คนใดคนหนึ่งจะสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำทั้งหมดสองหรือสามเท่าตัว ซึ่งทางบริษัท
ไม่สามารถที่จะเสี่ยงจ้างได้ ซอลท์ซ์มัน บอก เฟลมมิ่ง ว่า ก่อนที่เขาจะตัดสินใจถ่ายทำเรื่อง เจมส์ บอนด์ เขาได้หมายตัวหมายตาที่จะจับเอาตัวมาสวมบท เจมส์ บอนด์ ไว้ก่อนแล้ว คนที่เขากล่าวถึงนี้เป็นดาราทีวีของ บีบีซี เป็นชาวสก็อตชื่อ ฌอน คอนเนอรี



            .....ซอลท์ซ์มัน เล่าประวัติของ ฌอน คอนเนอรี ให้ เฟลมมิ่งฟังว่า ปัจจุบันนี้ ฌอน อายุได้ ๓๑ จะอย่าง ๓๒ เป็นชายหนุ่มร่างงาม คือสูงหกฟุตสอง หนักสองร้อยปอนด์ เคยเป็นแชมเปี้ยนมวยรุ่นเฮพวีเวทของกองทัพเรือ และเหนืออื่นใดหนุ่มใหญ่
ชาวสก็อตคนนี้ เคยเข้าประกวดชายงามจักรวาลที่ลอนดอน และได้รับเลือกให้เป็นรองชายงามจักรวาลอันดับสอง ส่วนความสามารถในด้านการแสดงนั้น เมื่อสี่ปีก่อน บีบีซี
ได้ซื่อบทละครเรื่อง Requiem for the Heavyweight. หรือ เพลงศพสำหรับนักมวย
เฮพวีเวท ของ รอด เชอร์ลิง  มาทำเป็นหนังทีวี ก็ได้คัดเลือกเอาตัว ฌอน มาสวมบทบาท
Mountain McClintock หรือ แม๊คคลินทอคหมัดภูผาหิน ซึ่งเป็นมวยเฮพวีเวท ตัวเอกของเรื่อง 



            .....ต่อจากนั้นก็ได้แสดงนำในหนังระดับสองดาวอีก ๔ หรือ ๕ เรื่อง ก็พอดี
วอล์ท ดิสนีย์  มาเห็นเข้าก็ชอบใจ ให้แสดงเป็น ไมเคิล แม๊คไบรด์ ในภาพยนตร์ชิงรักหักสวาทกระจุ๋มกระจิ๋มเรื่อง Darby O'Gill and the Little Peopleในเรื่องนี้มีฉากการดวลกำปั้น กันอย่างโชคเลือดระหว่าง ไมเคิล แม๊คไบรด์ กับตัวโกงซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตเป็นยักษ์ปักหลั่น แต่ในที่สุด แม๊คไบรด์ ก็สามารถสยบคู่ต่อสู้ลงได้



            .....ซอลท์ซ์มัน บอกกับ เฟลมมิ่ง ว่า ค่าตัวของ ฌอน นั้นอยู่ในเกณฑ์ ที่ทางฝ่ายการเงินของบริษัทพอจะจัดแจงให้ได้ ขณะนี้ทางบริษัทยังไม่ได้แย้มพรายให้ผู้ใดผู้หนึ่งได้ทราบเรื่องนี้  แต่ก็เชื่อแน่ว่าถ้าได้รับการทาบทามแล้ว ฌอน ย่อมจะไม่ดอบปฏิเสธ แต่จะยิ่งดีใจเสียด้วยซ้ำไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ย่อมขึ้นกับการตัดสินใจของ เฟลมมิ่ง
ผู้เป็นเจ้าของบทประพันธ์ สำหรับตัว เอียน เฟลมมิ่ง นั้นตามปกติก็ไม่ใช่คนดื้อรั้นตรั้นมา
ได้ยินได้ฟังเหตุผลของ ซอลท์ซ์มัน ในเรื่อง ค่าตัว ของดาราก็พลอยเห็นดีที่จะใช้ดาราที่
ค่าตัวย่อมเยา แต่ก็อยากจะขอดูตัว ฌอน เสียสักหน่อยหนึ่ง ซอลท์ซ์มัน ก็รับปากที่จะนัดหมายให้ ฌอน และ เอียน ได้พบกันที่สำนักงานของเขา



           .....ในวันนัดหมาย เอียน มาถึงสำนักงานของ  ซอลท์ซ์มันก่อนเวลานัด และได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องทำงานของซอลท์ซ์มัน ซึ่งอาจจะมองเห็นบรรดาผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนท้องถนนข้างล่างได้ถนัด และเมื่อซอลท์ซ์มันชึ้ให้เอียนดูไปยังหนุ่มใหญ่
ท่าทางองอาจผึ่งผายซึ่งกำลังเดินข้ามถนนมา ซอลท์ซ์มันก็อ่านจากแววตาของเอียนได้ว่า เอียนพบ  เจมส์ บอนด์ ในจินตนาการของเขาเข้าแล้ว

                                                              Daniel Craig

          ..... ก็อย่างที่ทราบกันดี หนัง เจมส์ บอนด์  ตอนแรกคือ Dr. No นี้ พอนำออกฉายก็ได้รับการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้บริษัท  ไอเอิน โพรดัคชั่น  ต้องรีบกว้านซื้อนวนิยาย เจมส์ บอนด์  ทุก ๆ เรื่องจาก เอียน เฟลมมิ่ง  ไอ เอิน โพรดัคชั่น จะไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ดูเหมือนจะมีแต่เรื่อง Casino Royale ที่ เอียน เฟลมมิ่ง ขายให้กับบริษัทโทรทัศน์ไปก่อนเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น



         .....ส่วน  ฌอน  คอนเนอรี เมื่อสวมบทบาท  เจมส์ บอนด์  ไปได้สองสามตอนก็ดังสุดขีด  พอตอนที่ ๔ ก็คิดกำเริบถึงกับออกประกาศว่า จะเล่นบท เจมส์ บอนด์ อีกเพียงตอนเดียว  คือตอน  You Only Live Twice แล้ว ก็จะเลิกไปแสดงหนังที่มีระดับ ไม่ใช่จะมางมโข่งอยู่กับหนังหลอกเด็กอย่างเรื่อง เจมส์ บอนด์ เรื่อง ฌอน คอนเนอรี ประกาศจะเ้ลิกแสดงบท
 เจมส์ บอนด์ เช่นนี้ แทนที่ทางบริษัท ไอ เิอิน โพรดัคชั่น  จะพยายามวิ่งเต้นประสานงานให้
ฌอนรับแสดงต่อ  แต่บริษัทกลับนิ่งเฉย 



          .....ซอลท์ซ์มันและบรอคคอลิ  ต่างก็เข้าใจผิดคิดว่าคนดูติดใจเรื่องหนังมากกว่าติดใจดารานำแสดงนำ   พอได้ยินฌอนประกาศออกมาเช่นนี้    ก็เร่งแมวมองของตนให้หาพระเอกคนใหม่มารับหน้าที่แทนฌอน  ผลที่สุดก็เลือกเอา จอร์จ ลาเซนบี ดาราออสเตรเลียมาแสดงแทนฌอน  ผลิตออกมาได้เรื่องเดียว ก็มีผลปรากฏออกมาให้เห็นในทันทีทันใดว่า  คนดูไม่ยอมรับ เจมส์ บอนด์ คนใหม่ หนัง เจมส์ บอนด์ ตอนนั้นจึงต้องพังไปอย่างไม่เป็นท่า


                                                          George Lazenby.
        
          .....ถึงตอนนี้  ฌอนก็เลยได้รับการร้องขอจากบริษัท ให้กลับมาแสดงกู้หน้าหนังชุด ๐๐๗ อีกเรื่องหนึ่ง ฌอนคิดถึงไมตรีเก่าก่อนก็เลยตัดสินใจแสดงให้อีกตอนหนึ่ง  ทำให้ผู้สร้างต้องตะเกียกตะกายวิ่งเต้นหานักแสดงคนใหม่กันอีกเป็นจ้าระหวั่น  คราวนี้ไปได้ โรเจอร์ มัวร์ 
ดาราอังกฤษมาแสดง  โรเจอร์ มัวร์ ดูเหมือนจะรับบทเป็น เจมส์ บอนด์ มากกว่าดาราคนอื่น ๆ
แต่เมื่อรับแสดงไปถึงหกตอน   ประชาชนคนดูก็เริ่มบังเกิดความเซ็งต่อสภาพร่างกายที่เริ่ม
อ้วนฉุ  และสังขารก็เริ่มร่วงโรยของมัวร์ ซึ่งดูไม่สมกับบุคลิกของ เจมส์ บอนด์ ฉะนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เปลี่ยนให้ ทิโมธี ดาลตัน เข้ามารับบทแทน

                                                        Sir Roger Moore.

         .....บุคลิกของ  ทิม ดาลตัน ดูสมกับบทบาทของ เจมส์ บอนด์ มากกว่า ฌอน คอนเนอรี และ โรเจอร์ มัวร์  แต่ก็ยังไม่ใช่บุคลิกที่เฟลมมิ่งจินตนาการเอาไว้  ฌอน คอนเนอรี  มีลักษณะของชายที่บึกบึนและมีเสน่ห์   แต่ขาดลักษณะของผู้มีการศึกษา  โรเจอร์ มัวร์  มีลักษณะของผู้มีการศึกษา    แต่ขาดความบึกบึน    และท่าทางติดจะเป็นคนเจ้าสำอาง 
 ทิม ดาลตัน  มีลักษณะสายลับ  แต่กลับขาดลักษณะคนเจ้าสำราญ  ยิ่งนวนิยาย เจมส์ บอนด์ 
ตอนหลัง ๆ ผู้ประพันธ์คือ เอียน เฟลมมิ่ง  ได้พยายามเปลี่ยนบุคลิกของ เจมส์ บอนด์ ให้กลาย
เป็นคนเจ้าชู้ เป็นคนเจ้าสำราญ  ดาลตัน จึงรับบทไม่ค่อยจะสมจริงสมจัง


                                                          Timothy Dalton.

          .....ท่านผู้อ่านที่รัก  ความจริงปี 2012 มี เจมส์ บอนด์ เปลี่ยนหน้ามาอีกสองคนคือ
 พียซ บรอสแนน สายลับอมตะแห่งเจมส์ บอนด์ 007 และ เดเนี่ยล เคร็ก  บทสายลับ เจมส์ บอนด์ 007 คนใหม่! จะเรียกว่า คนล่าสุดก็ว่าได้  ส่วนดาราตัวประกอบเก่า ๆ ก็ล้มหายตายจากไปหลายรายแล้ว  เดวิด นิเวน ดาราเจ้าเก่า (เสียชีวิตไปแล้ว) ก็เคยเป็น เจมส์ บอนด์ 
ฉบับ ล้อเลียน เรื่อง Casino Royale 


                                                            Pierce Brosnan
           .....ต่อไปนี้ผมอยากจะเล่าประวัติพิสดารของ  ฌอน คอนเนอรี ให้ฟังพอเป็นนิทัศน์
อุทธาหรณ์         สำหรับผู้ที่ผิดหวังหรือพลาดหวังที่จะได้เข้าไปศึกษาหาความรู้  อย่างเป็น
กิจลักษณะในโรงเล่าโรงเรียน  หรือในสถาบันการศึกษาไม่อย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี   คนเรานั้น
ถ้ามีความตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้   เสียงอย่างก็อาจจะศึกษาหาความรู้เอาด้วยตนเองอย่าง ที่
ทอมมีย์  คอนเนอรี  ได้เคยประพฤติปฏิบัติมาก่อน
                  ทอมมีย์ คอนเนอรี เป็นชื่อดังเดิมหรือชื่อธรรมชาติของ ฌอน คอนเนอรี ตามประวัตินั้น  ทอมมีย์ลาออกจากโรงเรียนเพราะฐานะทางเศรษฐกิจบังคับตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ในวัยรุ่น เขาต้องตะลอนไปหางานทำหลายต่อหลายแห่ง อาศัยที่เป็นคนหนุ่มรูปงาม สูงหกฟุต
สองนิ้ว หนัก ๘๖ กิโลกรัม  ทอมมีย์จึงหางานฉาบฉวย เช่น งานไปนั่งเป็นแบบให้นักศึกษาวิชาวิจิตรศิลป หรือไปสมัครชกมวยสมัครเล่น หรือไมก็ไปแสดงละครเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่ออายุครบ ๒๐ เขาก็สมัครเข้าประกวดชายงามจักรวาล ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลอนดอน
การประกวดคราวนั้นทอมมีย์โชคดี  ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรองชายงามอันดับ ๒ ได้รับเงิน
รางวัลมามากพอสมควร และโชคดีที่ได้พบปะและรู้จักกับชายชาวอังกฤษวัยปลายสี่สิบที่ชื่อ 
โรเบอร์ท แฮนเดอร์สัน
                  แฮนเดอร์สันเป็นผู้กำกับการแสดงละครชั้นแนวหน้าของย่าน เวสต์ เอนด์ ของกรุงลอนดอน  เขามองเห็น  แวว   อะไรบางอย่างในตัวของทอมมีย์   ฉะนั้นจึงพยายามซักไซร้ไล่เลียงเกี่ยวกับอนาคตของเด็กหนุ่ม ซึ่งเอยปากถามครั้งใร  เด็กหนุ่มก็คงยืนยันแต่จะไปสมัครเล่นฟุตบอลอาชีพลูกเดียว  วันหนึ่งแฮนเดอร์สันอดรนทนไม่ได้  จึงเอ็ดเอาว่า " นี่ เอ็งต้องเชื่อคำแนะนำของข้า "ถ้าแอนเดอร์สันใช้สำนวนของ "ผม" แอนเดอร์สันก็คงจะพูดแบบนี้ " ฟุตบงฟุตบอลอะไรของเอ็งน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันจะดีได้ไม่กี่ปี นักฟุตบอลน่ะพออายุได้ยี่สิบเก้าสามสิบก็บ้อลัค (หมดแรง) แล้ว สังขารมันจะไม่ตามใจ...มันก็เสร็จแค่นั้น"
                 "เอ็งจำคำข้าให้แม่น ๆ คนอย่างเอ็งนี่น่ะเหมาะสำหรับจะเป็นนักแสดงที่สุดจะบอกให้" 
                   พอได้ยินคำว่านักแสดง หนุ่มทอมมีย์ก็ทำตาโต โวยวายเอากับผู้อาวุโสว่า "จะเป็นไปได้อย่างไร" นักแสดงน่ะัจะต้องมีการศึกษา ตัวผู้เยาว์นั้นเรียนจบมาแค่ระดับสามระดับสี่เท่านั้น....ฯลฯ..!!!!! .....ฯลฯ
                   คำพูดของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะเป็นไปตามที่แอนเดอร์สันคิดไว้ในใจ เขารอให้ทอมมีย์พูดจนจบแล้ว จึงยกมือขึ้นแตะบ่าเด็กหนุ่มแล้วพูดเบา ๆ ว่า
                   "ทอมมีย์  ข้าสังเกตเองมานานแล้ว เอ็งเป็นคนมีความคิดความอ่าน มีความทะเยอทะยาน มีจิตนาการ ถ้าเอ็งตั้งใจยึดอาชีพนักแสดงแล้ว เอ็งไม่จำเป็นต้องไปวิตกกังวลอะไรกับการศึกษาของเอง ข้าจะแนะนำครูใหญ่ที่สอนวิธีเรียนลัดให้เอ็งตามเขาทัน (เหมือนหนังจีนกำลังภายใน) ตอนแรกนี้เอ็งเอารายชื่อไปศึกษา ๓ คนก่อน
                    ท่านผู้อ่านอยากทราบไหมว่า ครูใหญ่ที่สามารถสอนคนด้อยวุฒิทางการศึกษา
ให้ตามเขาทันทั้ง ๓ คน ที่แอนเดอร์สันแนะนำให้ทอมมีย์ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ประเภทโตแล้วเรียนลัดนั้นมีใครบ้าง

                     บอกให้ก็ได้ว่า คนแรกคือ วิลเลียม เช๊คสเปียร์  คนที่สองคือ ธอมมัส วูลฟ์ และคนที่สามคือ ออสคาร์ ไวลด์

                     สำหรับครูใหญ่คนแรกนั้น  ทอมมีย์สารภาพกับ  จอห์น คัลเฮน ว่าแอนเดอร์สันบังคับให้เขาอ่านเรื่องใหญ่น้อยของท่านถึง ๒๐๐ เรื่อง
  
                      นี่แหละครับชีวิตสายลับที่ใช้เลขรหัสนำหน้าชื่อว่า 007  ไม่ใช่จะเป็นกันง่าย 


หมายเหตุ......สายลับที่ใช้รหัสขึ้นต้นด้วยเลขศูนย์ หมายความว่า
สังหารฝ่ายตรงข้ามไม่ว่ากรณีใด ๆ จะไม่มีความผิด แต่ถ้าดวงซวยถูกเขาฆ่า ทางต้นสังกัด จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น (แต่รายได้ดีสำหรับสายลับรหัส 00 ) ตั้งแต่ปฏิบัติการณ์มาเสียชีวิตไปหกคน คือ 001,002,003,004,005,006, 007 เป็นแมวเก้าชีวิต 

                                  ______________

                              
                                                   Sampan Chanpa