วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

DEAD MAN DOWN





                                            DEAD MAN DOWN 
                            
                                                   [ แค้นได้ตายไม่เป็น]














                           


   “การกลับมาร่วมงานของผู้กำกับและนางเอกต้นแบบจากหนัง   The Girl With the Dragon Tattoo”



     ผู้แสดงนำ : โคลิน ฟาร์เรลล์,นูมี่ ราเพซ, โดมินิค คูเปอร์,เทอร์เรนซ์ ฮาวเวิร์ด
     ผู้กำกับ :      นีลส์ อาร์เด้น อ็อปเลฟ
 

     เรื่องราว :     Dead Man Down

          เริ่มต้นเรื่องด้วยการแอบมองกันของ วิคเตอร์ และเบียทริช ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในห้องที่มีระเบียงตรงกันข้ามกัน       ในอพาร์ตเม้นต์หลังจากมองกันไปมองกันมาในที่สุด
เบียทริช ที่อาศัยอยู่กับแม่   ตัดสินใจส่งข้อความไปให้วิคเตอร์ เพื่อขอนัดเดตกับเขาแต่การนัดกินข้าวของชายหนุ่มและหญิงสาวแปลกหน้า        ที่เริ่มต้นด้วยดี กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้ว เบียทริชแอบเห็น วิคเตอร์       ฆ่าคนตายในห้องของเขา และเธอใช้เรื่องนี้แบล็คเมลเพื่อให้เขา
ลงมือสังหารชายที่ทำให้ใบหน้าเธอเสียโฉม     ในขณะเดียวกันวิคเตอร์ ซึ่งทำงานอยู่กับแก๊งมาเฟียของ อัลฟอนซี่ ฮอยต์กลับมีภารกิจแฝง เพราะแท้ที่จริงเขาต้องการล้างแค้นอัลฟอนซี่ทีเคยสั่งฆ่าลูกเมียของเขา ชีวิตของชายหนุ่มและหญิงสาวแปลกหน้า  จึงต้องมาพัวพันกันท่ามกลางสถานการณ์ที่ร้อนระอุไปด้วยไฟแค้น


 ผลลัพธ์ที่ออกมา : ผู้กำกับ นีลส์ อาร์เด้น อ็อปเลฟ
 

           ทำเรื่องนี้ให้ออกมาเป็นหนังนัวร์ทริลเลอร์ที่มาในอารมณ์มืดหม่น    ซึ่งดูจะเป็นแนวถนัด
ของเขาอยู่แล้ว หนังไม่ได้เน้นหนักไปที่ฉากแอ็กชั่น แต่ถึงกระนั้นก็มีฉากชวนให้ลุ้นสร้างความตื่นเต้นให้ได้ไม่น้อย  แม้เรื่องราวจะไม่ได้มีความซับซ้อน  และพอจะทำให้เดาเส้นเรื่องไปจนถึงตอนจบได้   แต่ด้วยวิธีการนำเสนอที่วางจังหวะการเดินเรื่อง ได้อย่างกระชับฉับไหวไม่ยืดเยื้อ ทำให้หนังดูไหลลื่น  และน่าสนใจ     แต่ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของหนังก็คง  ไม่พ้นทีมนักแสดงที่

ผู้กำกับอ็อปเลฟและทีมผู้สร้างทำได้อย่างยอดเยี่ยม  ในการเลือกตัวนักแสดงที่ดูลงตัวในทุกบทบาทแถมยังเป็นนักแสดงฝีมือดีด้วยกันทุกคน  โคลิน ฟาร์เรลล์ ดูเหมาะเจาะลงตัวดีทีเดียวกับบทวิคเตอร์ สมาชิกแก๊งมาเฟียที่ดูดิบ เถื่อน แต่ความจริงแล้วเขามีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา
เจ้าตัวถือว่าสอบผ่านทั้งในฉากที่เขาต้องบู๊   และในฉากแสดงอารมณ์ดราม่าส่วน นูมี่ ราเพซ
ก็แสดงได้เข้าขากับฟาร์เรลล์ในบทผู้หญิงธรรมดา ที่เก็บกดความแค้นไว้ในใจได้อย่างดีเยี่ยม
เธอทำให้เราเชื่อว่าเธอคือผู้หญิงธรรมดาที่ไร้ทางสู้   และต้องทนกับแรงบีบคั้นจากสังคมรอบข้างจนเมื่อสบช่องที่จะทำให้เธอมีโอกาสล้างแค้นชายที่ทำให้เธอต้องเสียโฉม หนังเรื่องนี้จึงมีจุดเด่นที่ทำให้หนังกลายเป็นเรื่องที่ชวนติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องอยู่ที่ฝีมือการแสดงของเหล่าดารานั่นเอง จัดเป็นหนังดูเพลินๆ แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นฉากแอ็กชั่นยิงกันสนั่น นอกเหนือจากนั้นถือว่าหนังดูเพลินใช้ได้เลยทีเดียว


เกรดหนัง : ให้สี่ดาว


                           _____________________________________

                                                            Sampan Chanpa



วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Levi Strauss






                                    Levi Strauss
F A S H I O N
Levi Strauss


ปี 1853 หนุ่มเยอรมัน เชื้อสายยิวอายุ 24 ปีที่ชื่อ ลีวาย สเตราส์ เดินทางไปขาย
ผ้าใบในซานฟราน-ซิสโกช่วงยุคตื่
นทอง วันหนึ่งคนขุดทองในเหมืองบอกเขาว่า “คุณน่าจะเย็บกางเกงขาย เพราะ ไอ้ที่ใส่อยู่มันไม่ทนเลย!”สเตราส์จึงนำผ้าใบมาลองเย็บกางเกงขาย แต่ก็ยังถลอกง่าย เขาจึงลองเปลี่ยนจากผ้าใบเป็นผ้าฝ้ายฝรั่งเศส (เซิร์จ เดอนิมส์ - Serge De Nims) ซึ่งต่อมาผ้าชนิดนี้ถูกเรียกว่าผ้า
เดนิม ส่วนกางเกงของสเตราส์ เรียกกันเล่นๆ ว่า บลูยีนส์ ตามสีของผ้าเดนิมที่ถูกย้อมเนื่
องจากสีน้ำเงินครามเป็นสีของเสื้อผ้าคนงานขุดทอง ใครจะคิดว่ามันจะปฏิวัติ
วงการแฟชั่นโลกกลายเป็นมาตรฐานก
ารแต่งกายของมนุษย์ จนถึงปัจจุบัน!
ปี 1873 สเตราส์และช่างตัดเสื้อคู่ใจ จาคอบ เดวิสร่วมกันก่อตั้ง Levi Strauss &Co. ค่อยๆ พัฒนากางเกงให้มีกระเป๋า ตะเข็บ กระดุม แผ่นป้ายหนัง และตอกหมุด
เพื่อเสริมความทนทาน ทำการจดสิทธิบัตรเลขที่ 139,121 ในวันที่ 20 พ.ค. 1873 จึงถือกันว่า วันนี้คือวันที่กางเกงบลูยีนส์ ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกอย่างเป็น
ทางการ! ส่วนโลโก้กางเกงยีนส์ Levi’s ที่มีม้า 2 ตัวนั้น เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1886 ส่วน
แถบแดงบนกระเป๋าหลังเริ่มใช้ปี 1936 ซึ่งเป็นเครื่องหมายของลีวายส์จ
นถึงทุกวันนี้!
    „ ครั้งแรกที่กางเกงยีนส์ Levi’s ถูกผลิตขึ้นมาในปี 1873 มันเป็นกางเกงสำหรับคนใช้แรงงาน แต่ด้วยคุณภาพความ
ทนทาน และเสน่ห์ความสวยงามของมันนี่เอง ที่ทำให้มันแพร่หลายไปทั่วโลก „ ในการผลิตกางเกงยีนส์ทุกๆ 10 ตัว
จะมี 1 ตัวที่ป้ายแดงเป็นสีแดงล้วน ไม่มีตัวหนังสือคำว่า Levi’s „ ที่สำนักงานใหญ่ของลีวายส์ในซานฟรานซิสโก
ที่พิพิธภันฑ์ที่ชื่อ The Vault ซึ่งเราสามารถไปชมกางเกงยีนส์รุ่นต่างๆ ที่ไปโผล่ในหนังดังๆ หรือกางเกงของดารา
ฮอลลีวูดมากมาย ที่สำคัญคือเข้าชมฟรี!
  
                                ________________________________
 Sampan Chanpa

Elvis Pressley+ The Beatles+Asanee-Wasan Chotikul





   M U S I C
Elvis Pressley



     ราชาร็อกแอนด์โรลผู้พลิกโฉมวงการดนตรีโลกจากหน้ามือเป็นหลังมือ บทเพลงของเขาส่งอิทธิพลต่อวิธีคิดของนักดนตรีรุ่นต่อมาอย่างสูงสุด จนสามารถบอกได้เลยว่า ถ้าไม่มีเอลวิส ก็นึกไม่ออก
จริงๆ ว่าดนตรีในยุคต่อๆ มารวมทั้งปัจจุบันจะมีหน้าตาเป็นยังไง!นี่คือหนึ่งในบุคคลที่ให้กำเนิดดนตรีแนวที่เรียกว่า ร็อกอะบิลลี่ ซึ่งผสมผสานจังหวะในแบบอัพเท็มโป้ แบ็คบีท คันทรี และอาร์-แอนด์บีเข้าด้วยกัน กลายเป็นสิ่งที่ใหม่เป็นอย่างมากสำหรับวงการ ดนตรีในขณะนั้น แถมยังมีความสามารถในการร้องที่หลากหลายปรับเสียงได้หลายสไตล์ขึ้นอยู่กับเพลงที่ร้อง ทั้งคันทรี่ ป๊อป บัลลาด กอสเปล (เพลงสวดในโบสถ์) และบลูส์ แถมยังมีท่าเต้น ขยี้บุหรี่ที่ยังมีคนจำได้จนถึงปัจจุบัน เขาหยิบเอาส่วนผสมที่มีในตัว
ทั้งหมดมาเขย่ารวมกันจนออกมาเป็นความกลมกล่อมสุดๆ เมื่อบวกกับความเป็นคนหน้าหล่อมากความสามารถด้วยแล้ว เขาจึงกลายเป็น The King ที่เป็นขวัญใจของนักฟังเพลงทั่วโลก เอลวิส เพลสลี่
ถือเป็นต้นแบบและมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเพลง น่าเสียดายที่เขาจากไปด้วยวัยเพียง 42 ปีเท่านั้น

       




                                                 Elvis Pressley




The Beatles

     จากยุคของเอลวิส ผู้ที่รับไม้ผลัดต่อจากเดอะคิง แถมยังพัฒนาตัวเองจนกลายเป็น ตำนานขึ้นหิ้งได้อย่างไร้ข้อกังขา มีเพียงวงเดียวเท่านั้นก็คือ สี่เต่าทอง!ไม่มีเอลวิสก็ไม่มีเดอะบีทเทิลส์ นี่คือการ
สืบทอดความเป็นตำนานตัวจริงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกของดนตรี วงร็อกแอนด์โรล ในยุค 1960 จากเมืองลิเวอร์พูลวงนี้ประสบความสำเร็จสูงสุด แถมยังมีบทบาทมากที่สุดที่ส่งผลต่อการพัฒนาโฉมหน้าของวงการเพลงป๊อปโลกในยุคต่อมา  พัฒนาจากยุคเริ่มต้นด้วยดนตรีในแนวสกิฟเฟิลและร็อกแอนด์โรล เอกลักษณ์เพลงเดอะบีทเทิลส์อย่างหนึ่งก็คือ สั้น ง่าย ตรงประเด็น และงาม คือไม่ต้อง
เสียเวลาพูดพล่ามทำเพลงหรือเกริ่นให้เยิ่น-เย้ออะไรมาก มาถึงก็ซัดผัวะๆๆ ว่ากันในประเด็นแล้วก็จบ เพลงฮิตส่วนใหญ่ในยุคแรกของพวกเขาสั้นมากซะจนต้องขอเล่นซ้ำใหม่หลายๆ รอบก็ไม่รู้จักอิ่ม ก่อนจะผสมผสานอิทธิพลของดนตรีแนวอื่นในยุคหลังๆ ไม่เว้นแม้แต่ดนตรีคลาสสิกหรืออะไรที่แปลกและ
แหวกแนวกว่านั้น สี่เต่าทองเป็นวงที่สร้างสถิติมีเพลงฮิตอันดับ 1 มากที่สุดทั้งใน อังกฤษและอเมริกา (อังกฤษ 17 ซิงเกิลอเมริกา 20 ซิงเกิล) ส่วนยอดขายอัลบั้มก็ทำตัวเลขได้มากกว่า 480,000,000 ก๊อบปี้



                                                   The Beatles


Asanee-Wasan  Chotikul

     
         สุดยอดตำนานคนดนตรีที่คนไทยทั้งประเทศให้การยอมรับ สองพี่น้อจากจังหวัดเลยที่เดินทางเข้ามาตามหาความฝันของตัวเองในเมืองหลวงจนขึ้นสู่การเป็นฮีโร่ในดวงในของรุ่นน้องนักดนตรีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาทั้งสองเป็นผู้เปลี่ยนโฉมหน้าการปรากฏตัวของศิลปินไทยไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่นักร้องต้องขึ้นเวทีพร้อมชุดหรู หล่อเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่พวกเขาขึ้นเวทีด้วยเสื้อยืดสบายๆ กับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ยืนร้องเพลงพลางโซโล่กีตาร์ในแบบ Slow Hand จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กผู้ชายกว่าครึ่งประเทศหัดเล่นกีตาร์ไปตามๆ กัน สำเนียงการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้นักดนตรีทั่วประเทศดำเนินรอยตามเป็นทิวแถว และที่เป็นภาพจำที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการแจกปิ๊กกีตาร์ให้กับแฟนเพลงที่จนถึงปัจจุบันก็ยังกลายเป็นธรรมเนียมทุกครั้งที่ขาดไม่ได้หากเขาทั้งสองออกเล่นคอนเสิร์ต นี่คือฮีโร่ตัวจริงที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนฟังเพลงไทยไปตลอดกาล



                                  ______________________________________

                                                  Sampan Chanpa



All About Eve (1950) วิมารลวง




                      All About Eve (1950) วิมารลวง



 กำกับการแสดงโดย: Joseph L. Mankiewicz
ผลิตโดย: Darryl F. Zanuck
เขียนโดย: Joseph L. Mankiewicz
นักแสดง: Bette Davis, Anne Baxter, George Sanders, Celeste Holm, Thelma Ritter และ Marilyn Monroe
เพลงโดย: Alfred Newman
เผยแพร่โดย: 20th Century Fox
ปีที่ออกฉาย: 1950
เวลาของหนัง: 138 นาที
คะแนน imdb: 8.4/10
คะแนน Rottens Tomato: 100% (55-0)

ระบบภาพ: -
เสียง: อังกฤษ
บรรยาย: ไทย



รายละเอียดเรื่องย่อ

ชื่อของหนังเรื่อง All About Eve ก็บอกอยู่แล้วว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องของมาร์โก แชนนิ่ง (Bette Davis) แต่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ชื่ออีฟ (Anne Baxter)
ส่วนที่แฟนๆหนังอาจจะไม่รับรู้ก็คือ เรื่องสั้นที่ใช้ชื่อว่า The Wisdom of Eve ซึ่งหนังอาศัยดัดแปลงนั้น พัฒนามาจากเรื่องจริงของหญิงสาวที่หวังจะ
ไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จในอาชีพการ แสดงด้วยทุกวิถีทาง-โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม และนั่นรวมถึงการเหยียบย่ำคนรอบข้าง
และการใช้เสน่ห์ดึงดูดทางเพศ แต่คนผู้เดียวที่มองเห็นความร้ายกาจซ่อนลึกของอีฟ คือ นักวิจารณ์ปากกล้านามว่า แอดดิสัน (George Sanders)

All about Eve ใช้ประโยชน์จากบทพูดและบทสนทนาที่ตัวละครใช้เชือดเฉือนเป็นสำคัญ  บทเจรจาในเรื่อง-บ่งบอกถึงความหลักแหลมคมคาย
ทางด้านภาษา อารมณ์ขัน ตลอดจนปฏิภาณไหวพริบในการเยาะเย้ยถากถางอย่างน่าตื่นตะลึง บางสำนักถึงกับยกให้เป็นหนังที่แทรกบทพูดที่ดีที่สุด
บทหนึ่งในโลกภาพยนตร์ทีเดียว



รางวัลที่ได้รับ

- รางวัลออสการ์ (ชนะ 6 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม /ผู้กำกับยอดเยี่ยม: Joseph L. Mankiewicz /นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: George Sanders
/บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: Joseph L. Mankiewicz /เครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ประเภทหนังขาวดำ และ บันทึกเสียงยอดเยี่ยม)
(เข้าชิง 8 - นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม: Bette Davis / นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม: Anne Baxter /นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม: Celeste Holm
/นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม: Thelma Ritter /ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม: Alfred Newman /กำกับภาพยอดเยี่ยม ประเภทหนังขาวดำ
/กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ประเภทหนังขาวดำ และ ตัดต่อยอดเยี่ยม)

- รางวัลบาฟต้า (ชนะ 1 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากแหล่งอื่นๆ)

- รางวัลลูกโลกทองคำ (ชนะ 1 - บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: Joseph L. Mankiewicz)
(เข้าชิง 5 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทหนังชีวิต /ผู้กำกับยอดเยี่ยม: Joseph L. Mankiewicz /นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม: Bette Davis
/นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม: George Sanders /นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม: Thelma Ritter )



ข้อแนะนำเกี่ยวกับหนัง

- หนังเก่ามากครับ และคลาสสิคมากๆ เนื้อหาน้ำเน่านิดหน่อย แต่บทสนธนาในหนังเชือดเฉือดกันสุดยอดครับ เป็นหนังที่มีทีมนักแสดง
ระดับแถวหน้าที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งของประวัติศาสตร์
- เป็นหนังเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ ที่เข้าชิงออสการ์สูงถึง 14 สาขา และชนะ 6 สาขา
- เป็นหนังยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่ 14 ของสถาบัน American Film Institute ปี 2007
- Bette Davis นักแสดงหญิงที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ได้หนังเรื่องนี้เป็นจุดสูงสุดทางการแสดงของเธอ แต่เธอก็ไม่ชนะรางวัลออสการ์
เนื่องจากในปีนั้นมีผู้เข้าชิงและคู่แข่งที่มีการแสดงจัดจ้าน อย่าง Anne Baxter จากหนังเรื่องเดียวกัน Gloria Swanson (Sunset Blvd.)
และ Judy Holliday (Born Yesterday) ซึ่งชนะรางวัลออสการ์
- ในหนังมีนักแสดงสมทบสุดขโมยซีนหลายคนอย่าง Thelma Ritter สาวใช้ผู้ไม่ไว้ใจอีฟ และ George Sanders นักข่าวที่รู้เรื่องของอีฟทุกเรื่อง
โดยเฉพาะ Marilyn Monroe กับสาวซื่ออยากเข้าวงการ แม้จะแสดงเพียงนิดเดียว ก็ขโมยซีนเรียบในฉากนั้น


                                     ______________________________


                                                Sampan Chanpa

The Lost Weekend (1945) : ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ปี 1946 ของผู้กำกับ Billy Wilder


                   The Lost Weekend (1945)



กำกับการแสดงโดย: Billy Wilder
ผลิตโดย: Charles Brackett
เขียนโดย: Charles Brackett และ Billy Wilder
นักแสดง: Ray Milland, Jane Wyman, Phillip Terry, Howard Da Silva, Doris Dowling และ Frank Faylen
เพลงโดย: Miklos Rozsa
เผยแพร่โดย: Paramount Pictures และ Universal Studios
ปีที่ออกฉาย: 1945
เวลาของหนัง: 99 นาที
คะแนน imdb: 8.1/10
คะแนน Rottens Tomato: 100% (30-0)

เสียง: อังกฤษ
บรรยาย: อังกฤษ



รายละเอียดเรื่องย่อ

เนื้อหาในหนังกล่าวถึงนักเขียนคนหนึ่งชื่อ ดอน (Ray Milland) ซึ่งมีอนาคตในการเขียนหนังสือที่น่าจะรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน กับแฟนสาวเฮเลน (Jane Wyman)
อีกคนหนึ่งที่มีเกิดมาเพื่อรัก เธอปรารถนาดีต่อความรักที่เธอให้กับดอน เธอเดือดร้อนและเป็นทุกข์ร่วมกับดอนเมื่อเขาทุกข์ และเธอห่วงทุกปัญหาที่ดอน
มีปัญหาแม้จะมีอุปสรรคมาพยายามจะแยกให้เธอต้องแยกทางกับคนที่เธอรัก แต่เธอก็ไม่ต้องการที่จะเดินบนหนทางนั้น

อุปสรรคต่างๆ ที่พยายามจะแยกเธอให้ ทิ้งความรักที่ไร้ค่า ซึ่งเธอและดอนมีร่วมกัน คือ ความไม่แน่นอนของดอน ที่ทำให้เธอผิดหวังทุกครั้งเมื่อเขาหัน
ไปดื่มเหล้า ความไม่เห็นด้วยของพ่อและแม่ของเธอ ที่ไม่ต้องการให้ลูกสาวกลายเป็นเมียของคนขี้เมา ความไม่มีอนาคตของคนรักที่ถูกเหล้าพาไปพบ
แต่ความเลวร้ายอุปสรรคเหล่านี้ แม้จะมีคนพยายามมากระตุ้นให้เธอเกิดความตระหนักที่จะเลิกกับเขา แต่เธอก็ไม่ทำ

ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเลวร้ายลงทุกวันจนถึงระดับต่ำสุด เมื่อเขาถึงกับขโมยของเพื่อหาเงินไปดื่มเหล้า ถูกจับเข้าสถานบำบัด แต่เขาก็ไม่อาจจะแยกทางกับเหล้า
ได้ จนเมื่อถึงจุดสิ้นสุด เขาต้องการที่จะจบปัญหาที่เกิดขึ้น...

ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับปัญหาการติดเหล้า ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของใครหลายคนในยุคนั้น มาจนถึงยุคปัจจุบัน กำกับโดยผู้กำกับหัวทันสมัยอย่าง
Billy Wilder (The Apartment, Some Like it Hot, Sunset Blvd.) หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 สาขา และชนะมาถึง 4 สาขาสำคัญ
อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม: Billy Wilder, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม: Ray Milland และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: Charles Brackett
และ Billy Wilder

(ข้อความบางส่วน ที่มา: http://www.ryt9.com/s/nnd/1016675)



รางวัลที่ได้รับ

- รางวัลออสการ์ (ชนะ 4 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม /ผู้กำกับยอดเยี่ยม: Billy Wilder /นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม: Ray Milland
และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม: Charles Brackett และ Billy Wilder)
(เข้าชิง 3 - กำกับภาพยอดเยี่ยม ประเภทหนังขาวดำ /ตัดต่อยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม สาขาหนังชีวิตหรือหนังตลก)

- รางวัลลูกโลกทองคำ (ชนะ 3 - ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม /ผู้กำกับยอดเยี่ยม: Billy Wilder และ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม: Ray Milland)

- เทศกาลหนังเมืองคานส์ (ชนะ 2 - รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแกรนไพรส์ และ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม: Ray Milland)



คำแนะนำเกี่ยวกับหนัง:

- ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Charles R. Jackson มาสู่หนังที่บีบคั้นความรู้สึกของคนได้อย่างอยู่หมัด เกี่ยวกับชายผู้ติดเหล้า
ที่ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วย มากกว่าการประนาม โดยผู้กำกับ 6 รางวัลออสการ์ อย่าง Billy Wilder
- หนังเก่ามาก แม้เนื้อหาและการนำเสนอจะดูล้าหลังและน่าเบื่อไปบ้าง แต่หนังก็ยังพูดถึงผู้ที่ติดเหล้าและอาการติดเหล้าได้อย่างน่าสนใจ
และได้การแสดงอันสุดยอดของ Ray Milland ที่กวาดรางวัลมาเกือบทุกสถาบัน
- The Lost Weekend เป็นหนังเพียง 2 เรื่อง ที่เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ที่ชนะรางวัลสูงสุดของเทศกาลหนังเมืองคานส์
(อีกเรื่องคือ Marty (1955) ซึ่งได้รับรางวัลปาล์มทองคำ ที่เพิ่มเริ่มต้นปีนี้เป็นปีแรก)
- ผู้กำกับ Billy Wilder ได้รับข้อเสนอจากอุตสาหกรรมน้ำเมาถึง 5 ล้านเหรียญ เพื่อระงับการฉายหนังเรื่องนี้ เขาปฏิเสธและหนังก็ฮิตถึง 4.3 ล้านเหรียญ
จากทุนสร้างแค่ 1.25 ล้านเหรียญ


                         _______________________________________


                                                Sampan Chanpa

King Naresuan 1-2








                                   King Naresuan




ชื่อภาษาอังกฤษ King Naresuan 1
จัดจำหน่ายโดย พร้อมมิตร โปรดัคชั่น
กำหนดฉาย 18 มกราคม 2550
เรื่องย่อ

พุทธศักราช 2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (สมภพ เบญจาทิกุล) ทรงกรีฑาทัพเข้าตีราชอาณาจักรอยุธยาทางด่านระแหงแขวงเมืองตาก ทัพพม่ารามัญซึ่งมีรี้พลเหลือคณานับได้เข้ายึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของราช อาณาจักรอยุธยาอันมีเมืองพิษณุโลกเป็นประหนึ่งเมืองราชธานีได้เป็นผลสำเร็จ
ครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรหรือพระองค์ดำ (ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์) ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินครองเมืองพิษณุโลก
จำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนองเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตอาณาประชาราษฎร์ มิให้ต้องมีภยันตราย และจำต้องยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) เจ้าแผ่นดินอยุธยาทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับพม่ารามัญ และยอมถวายช้างเผือก 4 เชือก ทั้งให้สมเด็จพระราเมศวรราชโอรส
โดยเสด็จพระเจ้าบุเรงนองไปประทับยังนครหงสาวดีตามพระประสงค์ของกษัตริย์พม่า ข้างสมเด็จพระมหาธรรมราชาซึ่งได้ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง ก็ได้ถวายสมเด็จพระนเรศวรราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันประทับยังหงสาประ เทศเฉกเช่นกัน
กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้เพียง 9 ชันษา
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสาย สันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญสบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร
นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์
พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเน ย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสาเพื่อจะได้ อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร
ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก
พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง (สรพงษ์ ชาตรี) พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณและเจนจบในตำราพิชัยสงคราม เป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร
นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญ หาผู้เสมอเหมือนมิได้
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรส คือ มังเอิน หรือ พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) และพระราชนัดดา มังสามเกียด ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง
ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้น หาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมอันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดิน ที่พระองค์ทรงสร้างและทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน
เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรสมังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดีบุเรง นองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงหยั่งรู้ว่าพระอัจฉริยภาพที่ทรงมีเหนือพระยุพราชของ หงสาวดี กำลังชักนำภยันตรายมา พระองค์จึงทรงเสี่ยงภัยเดินทางจากพุกามประเทศสู่มาตุภูมิ
อโยธยา-


ชื่อภาษาอังกฤษ  King Naresuan 2
จัดจำหน่ายโดย พร้อมมิตร โปรดัคชั่น
กำหนดฉาย 15 กุมภาพันธ์ 2550
เรื่องย่อ

หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง (สมภพ เบญจาทิกุล) สิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) ได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อ และได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราช
อาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสามีอันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของพระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดีพระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร
และสมเด็จพระนเรศวร (พ.ต.วันชนะ สวัสดี) เองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน
มิ เพียงเท่านั้น สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระ
ราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึกหมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครงแต่พระ มหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ
สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร




Synopsis
ภาพยนตร์แห่งอิสรภาพ โดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล

การประกาศเอกราชที่เมืองแครง และสังหารสุรกำมาเหนือยุทธภูมิฝั่งน้ำสะโตงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (หรือสมเด็จพระนเรศ) ในปีพุทธศักราช 2127 ได้สร้างความตระหนกแก่พระเจ้านันทบุเรงองค์ราชันหงสาวดีพระองค์ใหม่
ด้วยเกรงว่าการแข็งข้อของอยุธยาในครั้งนี้ จะเป็นเยี่ยงอย่างให้เหล่าเจ้าประเทศราชที่ขึ้นกับหงสาวดีอาศัยลอกเลียนตั้ง ตัวกระด้างกระเดื่องตาม แต่จนพระทัยด้วยติดพันศึกอังวะ
จึงจำต้องส่งเพียงทัพพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่เข้าประชิดกรุงศรีอยุธยา ทางหนึ่งนั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงประมาทสมเด็จพระนเรศ ด้วยเห็นว่ายังอ่อน พระชันษา
คงมิอาจรับมือจอมทัพผู้ชาญณรงค์ทั้งสองได้ ทางหนึ่งก็สำคัญว่ากรุงศรีอยุธยายัง บอบช้ำแต่คราวสงครามเสียกรุง ไพร่พลเสบียงกรังยังมิบริบูรณ์คงยากจะรักษาพระนคร

ครั้งนั้นพม่ารามัญยกเข้ามาเป็นศึกกระหนาบถึง 2 ทาง ทัพพระยาพะสิมยกเข้ามาทาง ด่านพระเจดีย์สามองค์ เลยล่วงเข้ามาถึงแดนสุพรรณบุรี ส่วนพระเจ้าเชียงใหม่-นรธาเมงสอ
มาจากทางเหนือ นำทัพบุกลงมาตั้งค่ายถึงบ้านสระเกศ แขวงเมืองอ่างทอง

กิตติศัพท์การชนะศึกของสมเด็จพระนเรศหลายครั้งหลายคราระบือไกลถึงแผ่นดิน ละแวก เจ้ากรุงละแวกมิได้ทอดธุระ ได้ลอบส่งจารชนชาวจีนฝีมือกล้านามว่า “จีนจันตุ” มาลอบสืบความ
ที่กรุงศรีอยุธยาแต่ถูกจับพิรุธได้จนต้องลอบตีสำเภาหนีกลับกรุงละแวก สมเด็จพระนเรศทรงนำทัพเรือออกตามจนเกิดยุทธนาวี แต่พระยาจีนจันตุหนีรอดได้ เมื่อเจ้ากรุงละแวกได้ทราบกิตติศัพท์การณรงค์ของพระนเรศจึงเปลี่ยนพระทัยหัน
มาสานไมตรีกับอยุธยา และส่งพระศรีสุพรรณราชาธิราชผู้อนุชามาช่วยอยุธยาทำศึกหงสา หากแต่พระศรีสุพรรณผู้นี้ต่างจากเจ้ากรุงละแวกเพราะหาใคร่พอใจผูกมิตรด้วย อยุธยา
การได้พระศรีสุพรรณมาเป็นสหายศึกจึงประหนึ่งอยุธยาได้มาซึ่งหอกข้างแคร่

ข้างสมเด็จพระนเรศเมื่อทรงประกาศเอกราชแล้วก็จัดเตรียมการรับศึกหงสาวดี แต่เพราะกำลังรบข้างอยุธยาเป็นรอง จึงทรงวางยุทธศาสตร์รับศึกโดยมุ่งอาศัยกรุงศรีอยุธยาเป็นที่มั่นเพียงแห่ง
เดียว ครั้งนั้นได้โปรดให้เทครัวหัวเมืองเหนืออันเป็นแคว้นสุโขทัยเดิมลงมารวมกับ ครัวที่อยุธยา การณ์ปรากฏว่าเจ้าเมืองพิชัย และสวรรคโลกข้าหลวงเดิมแข็งเมืองไม่เทครัวลงมาสมทบ
จึงทรง ยึดเมืองแล้วลงทัณฑ์มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

สมเด็จพระนเรศทรงเห็นว่ากำลังข้างอยุธยายังเป็นรองพม่ารามัญ จึงทรงปรับเปลี่ยน ยุทธศาสตร์การรบเสียใหม่ โดยมิปล่อยให้ทัพพระยาพะสิมและนรธาเมงสอเจ้าเมืองเชียงใหม่
เข้ามารวมกำลังผนึกล้อมร่วมกันตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นทรงจัดทัพออกรับศึกในแขวงหัวเมือง แลด้วยทัพพม่ารามัญแยกสายเข้าตีเป็นสองทางเดินทัพช้าเร็วไม่เสมอกัน
จึงทรงเทกำลังเข้ารับศึกพระยาพะสิมที่เมืองสุพรรณบุรี ตั้งพระทัยจะตีทัพเบื้องประจิมทิศก่อน แล้วจึงเทกำลังเข้าตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่เบื้องอุดรทิศภายหลัง การทั้งหมดทั้งสิ้นต้องทำแข่งกับเวลา
หากพลาดท่า แม้เพียงก้าวอยุธยาก็ไม่พ้นพินาศ ถึงแม้ครั้งนั้นทัพพม่ารามัญจะมิได้ยกมาดั่งทัพกษัตริย์เช่นศึกพระเจ้าช้าง เผือกบุเรงนอง แต่ไพร่พลก็มากเหลือประมาณ
เพียงพอจะสร้างความย่อยยับให้ เหล่าอาณาประชาราษฎร์เกินคาดเดา

ภายใต้บรรยากาศกลิ่นอายสงครามนับแต่ศึกจีนจันตุ ตลอดถึงศึกพระยาพะสิมและ ศึกพระเจ้าเชียงใหม่ ในพระนครก็เกิดไฟรักโชติขึ้นท่ามกลางไฟสงคราม กลายเป็นเรื่องรักระหว่างรบ
ด้วย “เลอขิ่น” ธิดาเจ้าเมืองคัง มีอันมาพบ “เสือหาญฟ้า” คนรักเก่าที่รอดชีวิตมาแต่ศึกเมืองคัง โดยบังเอิญ เกิดขัดข้องเป็นรักสามเส้ากับ “พระราชมนู” คนรักใหม่ทหารเสือพระนเรศ
ไฟรักยิ่งลุกลามเมื่อนางพระกำนัลทรงเสน่ห์นาม “รัตนาวดี” มาทอดไมตรีให้พระราชมนู เกิดเป็นปมรัก ซ้อนปมรบ

ทางฝ่ายหงสาวดีนั้น พระเจ้านันทบุเรงกษัตริย์พม่ารามัญพระองค์ใหม่มีใจพิศวาส พระสุพรรณกัลยา-พระพี่นางในสมเด็จพระนเรศ หมายจะได้มาแนบข้าง ซ้ำพระนเรศอนุชา มาประกาศเอกราชท้าทายอำนาจของพระองค์
ทำให้สถานะของพระสุพรรณกัลยาในฐานะ องค์ประกันต้องสุ่มเสี่ยงต่อราชภัย พระสุพรรณกัลยาซึ่งขณะนั้นมีพระราชโอรสด้วยพระเจ้าบุเรงนองแล้ว ทรงถูกพระเจ้านันทบุเรงข่มขู่
บีบบังคับให้ต้องเลือกระหว่างการยอมพลีกายถวายตัวเป็น บาทบริจาริกา หรือยอมจบชีวิตด้วยการถูกย่างสดตามโทษานุโทษของพระอนุชา ชะตากรรมของพระพี่นางสุพรรณกัลยานั้นสุดรันทด

เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทรงเสร็จศึกอังวะก็เตรียมการเปิดศึกกับอยุธยา ทรงระดมไพร่พล แต่งเป็นทัพกษัตริย์ กองทัพใหญ่โตเหลือคณากว่าทัพบุเรงนองช้างเผือก เฉพาะไพร่ราบมีกำลัง
รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 240 , 000 คน ทัพนี้หมายมุ่งบดขยี้อยุธยาลงเป็นผุยผงหากทัพพระยาพะสิมและทัพพระเจ้า เชียงใหม่ตีกรุงไม่สำเร็จ แต่สมเด็จพระนเรศก็สู้ศึกนันทบุเรงและนำพากรุงศรีอยุธยา
ให้รอดจากภัยสงคราม กู้บ้านเมืองมิให้ต้องตกเป็นประเทศราชหงสาซ้ำสองได้ด้วยกุศโลบาย การศึกที่เหนือชั้นด้วยพระอัจฉริยภาพ


Director
ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล
Starring
วันชนะ สวัสดี  ,  วินธัย สุวารี  ,  นพชัย ชัยนาม  ,  ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง  ,  คมกริช อินทรสุวรรณ  ,  สรพงษ์ ชาตรี  ,  ฉัตรชัย เปล่งพานิช  ,  จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์
,  นภัสกร มิตรเอม  ,  ชลัฏ ณ สงขลา  ,  สมชาติ ประชาไทย  ,  อินทิรา เจริญปุระ  ,  ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ  ,  เกรซ มหาดำรงค์กุล  ,  อคัมย์สิริ สุวรรณศุข
,  ศิรพันธ์ วัฒนจินดา  ,  เกศริน เอกธวัชกุล  ,  พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์  ,  ดอม เหตระกูล  ,  อานนท์ สุวรรณเครือ  ,  ยาโน คาซูกิ  ,  โกวิทย์ วัฒนกุล  ,  ดิลก
ทองวัฒนา  ,  เศรษฐา ศิระฉายา  ,  ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ
Synopsis
เมื่อศึกสองแผ่นดินพลิกมาเป็นศึกสองกษัตริย์ที่รบเพื่อรักษาเอกราชระคนไปกับ การรบเพื่อชำระแค้น จึงเป็นสงครามเลือดและอารมณ์ที่เผ็ดร้อนกว่าทุกสงครามที่ขับเคี่ยวกันมา

ภายหลังการประกาศเอกราชของพระนเรศ ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ แล้ว พระเจ้า หงสาวดีนันทบุเรงได้โปรดให้กรีฑาทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาคืนเป็นเมืองขึ้นถึง ๔ ครั้ง คือ ในคราวศึกพระยาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่นรธาเมงสอ
ในปี พ.ศ. ๒๑๒๗ – ๒๑๒๘ ศึกนันทบุเรงปี พ.ศ. ๒๑๒๙ ศึกมหาอุปราชาในปี พ.ศ. ๒๑๓๓ และศึกยุทธหัตถีในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ โดยศึกสำคัญที่ทำอยุธยาต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์อันสุ่มเสี่ยงต่อการ
สิ้นสูญแผ่นดินคือ ศึกนันทบุเรง ซึ่งน้อยคนที่เคยได้ยินหรือระลึกได้ แต่วีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชซึ่งเป็นที่จดจำ ทั้งการออกปล้นค่ายพม่าจนเป็นที่มาของเรื่อง
พระแสงดาบคาบค่าย หรือการสังหารลักไวทำมู ทหารเอกข้างหงสาวดี ล้วนอุบัติในศึกนันทบุเรงทั้งสิ้น

ภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค ๔ “ศึกนันทบุเรง” ถ่ายทอดเรื่องราวอันเป็นผลจากการปราชัยของหงสาวดีในคราวศึกพระยาพะสิมและพระ เจ้าเชียงใหม่ ซึ่งทำให้พระเจ้านันทบุเรงทรงตระหนักในพระปรีชาสามารถของสมเด็จ
พระนเรศวร และในความเข้มแข็งของกองทัพอยุธยา จึงทรงยกทัพใหญ่เป็นทัพกษัตริย์มาย่ำยีราชธานีสยามหวังให้ราบ เป็นหน้ากลองเพื่อเป็นการแก้มือ และเพื่อรักษาซึ่งพระเกียรติยศ
มิให้เป็นที่ดูแคลนแก่เหล่าเจ้าประเทศราชในการปกครองของฝ่ายพม่า

กองทัพกษัตริย์ของพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงมีความสมบูรณ์ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม กว่าทุกศึก ประกอบด้วยช้าง ๓ , ๒๐๐ ทัพม้า ๑๒ , ๐๐๐ และไพร่ราบซึ่งมีจำนวนถึง ๒๕๒ ,
๐๐๐ โดยมีนายทัพผู้ปรีชาสามารถมาร่วมรบ ทั้งพระมหาอุปราชา มังจาปะโร และลักไวทำมูทหารกล้า

กิตติศัพท์ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของทัพหงสาวดีที่ยกเข้ามานี้ ส่งผลให้เจ้าเมืองในขอบขัณฑสีมาของราชอาณาจักรอยุธยาข้างฝ่ายเหนือประหวั่น พรั่นพรึงถึงกับสมคบคิดกัน
แปรพักตร์เข้าสมานสมัครพระเจ้านันทบุเรงรบสมเด็จพระนเรศวร เป็นเหตุให้สมเด็จพระนเรศวรต้องเผชิญทั้งศึกนอกและศึกใน สถานการณ์กลับยิ่งบีบคั้นให้คับขันยิ่งขึ้น
เมื่อพระศรีสุพรรณธรรมาธิราช พระอนุชาเจ้ากรุงละแวกซึ่งขัดพระทัยสมเด็จ พระนเรศวรแต่กาลก่อน ได้ยุยงให้พระเชษฐาตัดสัมพันธไมตรีกับอยุธยา ละแวกจึงกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่พร้อมจะกระหน่ำซ้ำเติมสยามให้ย่อยยับหากมี อันพลาดท่าเสียทีในศึกนันทบุเรงนี้

ภัยรอบด้านบีบรัดให้สมเด็จพระนเรศวรทรงต้องเผชิญศึกอย่างโดดเดี่ยว ซ้ำเคราะห์กลับทับทวีคูณเมื่อสหายศึก เช่น เลอขิ่น และกองกำลังเมืองคัง ซึ่งร่วมกรำศึก กันมาแต่เบื้องต้นคิดถอนตัวตีจากเนื่องจากพิษรักระหว่างรบที่จบลงด้วยความ ร้าวฉานระหว่างเลอขิ่นกับพระราชมนูขุนศึกคู่พระทัย
ความขัดแย้งด้วยเหตุส่วนตัวได้บานปลายกลายเป็นภัยของแผ่นดินในคราวคับขัน เมื่ออยุธยาต้องเผชิญศึก ซึ่งประมาณได้ว่าเป็นมหาสงครามภายใต้โทสจริตของพระเจ้านันทบุเรง

ด้วยข้อจำกัดที่รุมเร้าหลายประการ ผสานกับจำนวนไพร่พลที่เป็นรองหงสาวดี อยู่หลายขุม ทำให้สมเด็จพระนเรศวรทรงจำต้องปรับยุทธศาสตร์การตั้งรับทัพหงสาวดี โดยทรงใช้พระนครศรีอยุธยาซึ่งมีทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบเป็นฐานบัญชาการรบ แต่เพียงแห่งเดียว
ทรงส่งกำลังออกไปปักปราการ วางแนวป้องกันมิให้พม่าเข้ามาปลูกค่ายใกล้ขอบคูพระนครและกำแพงเมือง ทั้งยังแต่งกำลังเป็นกองโจรเข้าปล้นค่ายข้าศึกอย่างอาจหาญ

เมื่อศึกเหนือเสือใต้รุมกระหน่ำ ขุนนางผู้ใหญ่ขาดสามัคคีคิดคดคำนึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง จอมทัพผู้รั้งราชบัลลังก์และความอยู่รอดของแผ่นดินก็มาพลาดท่า
ต้องศาสตรากลางสมรภูมิศึก ยอดทหารเอกกรุงศรีถูกขุนศึกผู้ชาญณรงค์กว่าจับเป็นเชลย ชะตากรรมกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระนเรศวรจะลงเอยอย่างไร ต้องติดตามในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ภาค ๔ “ศึกนันทบุเรง”




                                ________________________________________


                                                     Sampan Chanpa

Indiana Jones (ขุนทรัพย์สุดขอบฟ้า)


                                            ขุนทรัพย์สุดขอบฟ้า





ชื่ออังกฤษ Indiana Jones and Raiders of the Lost Ark
ชื่อไทย ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า
ประเภทหนัง Action | Adventure
ผู้กำกับ Steven Spielberg
นักแสดง Harrison Ford ...  Indiana Jones
Karen Allen ...  Marion Ravenwood
Paul Freeman ...  Dr. Ren&amp #233  Belloq
Ronald Lacey ...  Major Arnold Toht
John Rhys-Davies ...  Sallah
Denholm Elliott ...  Dr. Marcus Brody

เรื่องย่อ :
อินเดียน่า โจนส์ (แฮริสัน ฟอร์ด) ศาตราจารย์ด้านโบราณคดี อีกโฉมหน้าหนึ่ง เขาคือ นักผจญภัยหนุ่ม ซึ่งรับบาลว่าจ้างให้ออกติดตาม หาหีบพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของโมเสส ก่อนที่พวกนาซีจะหาพบ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ชื่ออังกฤษ Indiana Jones and the Temple of Doom
ชื่อไทย ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 2: ถล่มวิหารเจ้าแม่กาลี
ประเภทหนัง Action | Adventure
ผู้กำกับ Steven Spielberg
นักแสดง Harrison Ford ...  Indiana Jones
Kate Capshaw ...  Wilhelmina  Willie  Scott
Jonathan Ke Quan ...  Wan  Short Round  Li
Amrish Puri ...  Mola Ram
Roshan Seth ...  Chattar Lal
Philip Stone ...  Captain Phillip Blumburtt

เรื่องย่อ :
ดร.โจนส์ ของเราจะต้องทำการรับค่าจ้างเป็นเพชรเม็ดใหญ่จากหัวหน้าแก้งค์ชาวจีน (Lao Che) ในการตามหาอัฐิของ Nurhaci ซึ่งก็ตามสไตล์เหตุการณ์ตอนนี้ก็เป็นส่วนของฉากแอคชั่นพอหอมปากหอมคอตอนเปิด เรื่อง เป็นการเปิดตัวพระเอกของเรา พร้อมกับเพื่อนร่วมทางในตอนนี้อีกสองคน ก็คือ Wille กับ Short Round แต่ในเรื่องดร.โจนส์ชอบเรียกว่า Shorty อินเดียน่าและเพื่อนร่วมทางใหม่ทั้งสองได้พากันหนีขึ้นเครื่องบิน แต่โชคร้ายเครื่องบินตกที่เทือกเขา Himalayan และได้ไปพบหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเชื่อว่า ดร.โจนส์ ถูกส่งมาเพื่อนำหินศักสิทธิ์ (Shiva lingam Stone หรือ Sankara Stone) ที่ถูกขโมยไปไว้ที่ Pankot Palace กลับมาสู่หมู่บ้าน ทำให้อินเดียน่าโจนส์และพวกจำต้องเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่นี้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ชื่ออังกฤษ Indiana Jones and the Last Crusade
ชื่อไทย ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ตอน ศึกอภินิหารครูเสด
ประเภทหนัง Action | Adventure
ผู้กำกับ Steven Spielberg
นักแสดง Harrison Ford ...  Indiana Jones
Sean Connery ...  Professor Henry Jones
Denholm Elliott ...  Marcus Brody
Alison Doody ...  Dr. Elsa Schneider
John Rhys-Davies ...  Sallah

เรื่องย่อ :
นักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ในสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ด็อกเตอร์อินเดียนา โจนส์ รวมตัวอีกครั้งกับคุณพ่อของเขา เพื่อตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูใช้กินอาหารเป็นมื้อสุดท้าย โดยมีพวกนาซีที่ตามหาสิ่งของมีค่านั้นอยู่เหมือนกัน ดังนั้น จึงพยายามขัดขวางแผนการเพื่อไม่ให้อินเดียนาทำได้สำเร็จ อินเดียนาจะทำอย่างไร และใครจะพบของล้ำค่านั้นก่อน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ชื่ออังกฤษ Indiana Jones And The kingdom of the crystal skull
ชื่อไทย ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4: อาณาจักรกะโหลกแก้ว
ประเภทหนัง Action | Adventure | Thriller
ผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก
นักแสดง แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford)
ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf)
เคต แบลนเช็ต (Cate Blanchett)
เรย์ วินสโตน (Ray Winstone)

เรื่องย่อ :
อินเดียน่า โจนส์ ชื่อนี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นผจญภัยที่ สนุกตื่นเต้นที่สุดในหลายทศวรรษนี้การผจญภัยครั้งใหม่ ภาคใหม่ ตอนใหม่ในครั้งนี้ จะพาคุณย้อนกลับไปในดินแดนทะเลทรายทางเซ้าท์อีสต์ ในปี 1957 ช่วงสงครามเย็น เมื่ออินดี้ (แฮริสัน ฟอร์ด) และเพื่อนซี้ แมค (เรย์ วินสโตน) ซึ่งเกือบจะหนีไม่รอดจากกองกำลังของโซเวียตที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
และเมื่อหนีเสือกลับมาถึงบ้าน สถานการณ์กลับยิ่งร้ายกว่า เพราะงานที่มาร์แชล คอลเลจก็ถูกคำสั่งเบื้องบนที่บังคับให้คณบดี ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาเอง ต้องเซ็นชื่อเชิญเขาออกจากงาน อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ต่อมาอินดี้ได้พบกับเด็กหนุ่มชื่อ มัตต์ (ไชอา ลาบัฟ) เพื่อออกตาหาสมบัติล้ำค่าทางโบราณคดีที่ใครๆก็สนใจ นั่นคือ กะโหลกแก้วแห่งอเคเทอร์ วัตถุโบราณในตำนานอันน่าพิศวง ลึกลับ และน่าสพรึงกลัว
แต่เมื่อคู่หูต่างวัย อินดี้ และ มัตต์ ตามล่าหาสมบัติไปถึงเปรู ดินแดนแห่งขุมสมบัติโบราณ ที่ร่ำลือกันว่าเป็นดินแดนแห่งทองคำ พวกเขาก็พบกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้รับเชิญ พวกสายลับโซเวียตที่นำทีมโดยสาวสวยผู้โหดเหี้ยมเลือดเย็น อิริน่า สปัลโก (เคต แบลนเชตต์) ซึ่งออกตามหากะโหลกแก้วอย่างพลิกแผ่นดิน ด้วยความเชื่อที่ว่ามันจะช่วยให้โซเวียตครองโลกได้ อินดี้ และ มัตต์ พร้อมด้วยพลพรรคหน้าคุ้น จึงต้องหาทางหนีจากพวกโซเวียตและตามหากะโหลกแก้วให้พบ เพื่อเก็บรักษามันให้พ้นจากเงื้อมมือพวกประสงค์ร้าย

                            ______________________________________


                                             Sampan Chanpa

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คลี่ฟิล์มส่องภาพ 2



                                                 ส่องภาพแล้วมองฟิล์ม



     เมื่อย้อนความจำถึงบริษัีทที่ส่งหนังเข้ามาฉายในเมื่องไทย รุ่นแรก ๆ เท่าที่พอจะนึกได้ก็คือ
ปาเต [Pathe] แต่คนไทยถนัดเรียกกันจนติดปากว่า "ปาเต๊ะ" เหมือนชื่อของ โสร่ง   [Sarong]

(โสร่ง, ผ้าถุง, ซิ่น, ผ้าซิ่น, ผ้าไตร,)  คีย์สโตน [Keystone], วิตากร๊าฟ [Vitagraph], 
ไบโอกร๊าฟ   [Biograph], และ เอสซาเนย์   [Essanay],    ซึ่งปัจจุบันชื่อเหล่านี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไปแล้ว  ตอนนั้นผมจำได้ว่าผู้คนในเมืองไทยรู้จักบริษัท ปาเต๊ะมากกว่าบริษัทอื่น  เมื่อใครเอ่ยถึง ปาเต๊ะจะต้องต่อท้ายว่าตราไก่แจ้ด้วยเสมอ

   พอเริ่มต้นม้วนจะมีไก่แจ้ออกมาโก่งคอขัน  ไม่ว่าจะเป็นหนังประเภทใด  พอขันเสร็จก็เริ่มมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นต้นไตเติ้ลเรื่อง  พอภาพยนตร์อวสาน[Omega,final, end,]หรือแจ๋วหลบก็ตามแต่ ก็จะมีพ่อไก่แจ้ตัวเดิมออกมาโก่งคอขันเหมือนเดิม เป็นการตบท้าย แต่น่าเสียดายยุคนั้นเป็นหนัีงเงียบสนิทเลยไม่ได้ยินเสียงของมัน (ค๊อก คะดู เด้นดู) มาได้ยินไก่ของฝรั่งร้องตอนท่องอาขยานแสดงว่าแม้แต่ไก่ไทยหรือไก่เทศก็ยังส่งเสียงร้องไม่เหมือนกัน หนังของบริษัทปาเต๊ะเป็นแบบนี้ทุกเรื่อง ผู้ชมในสมัยนั้นชอบอกชอบใจกันใหญ่ จึงพร้อมใจกันเรียกว่า "ปาเต๊ะตราไก่"
จนติดปาก


     เดิมทีบริษัทนี้ชื่อ "ปาเต แฟรส์" [Pathe' Freres] ดูเหมือนผู้ก่อตั้งเป็นคนฝรั่งเศส  เริ่มด้วยการสร้างหนังเบ็ดเตล็ด [Miscellaneous] มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๓ ต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น
"ปาเต๊ะ พิกเจ้อร์ [Pathe' Pictures] สร้างหนังมันทุกประเภท ปกิณกะ, จับฉ่าย มั่วไปหมด แต่ก็ดูสนุกดีครับ สร้างแบบม้วนเดียวจบจนถึงหนังซีเรียล สามารถรวบรวมดาราที่มีชื่อเสียงไว้ในสังกัดไว้มาก


     ส่วนบริษัทวิตากร๊าฟ,  ไบโอกร๊าฟและเอสซาเนย์สร้างหนังประเภทเดียวกัน คือมีทั้งหนัง 
พีเจอร์ และซีเรียล โดยเฉพาะวิตากร๊าฟมีดาราหนังซีเรียลที่ได้รับความนิยมในขณะนั้นทั่วโลกชื่อวิลเลี่ยม ดันแคน  และอีดิธ  จอนสัน ดาราคู่นี้แสดงร่วมกันมากกว่าใคร ๆ ถ้าเป็นบ้านเราก็มิตรคู่กับเพชราอย่างไงอย่างงนั้น เสมือนว่าคู่พระคู่นางผู้ชมภาพยนตร์จะไม่ย่อมให้แยกจากกัน แต่แล้วในเวลาต่อมาก็ต้องแยกกันจนได้ แล้วที่แปลกหายหน้าไปจากจอเลยของเราก็เช่นกัน(เป็นสัจธรรมอะไร ๆ ก็ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีมาแล้วก็ไปแต่ไปให้สวย ๆ หน่อย) ประเทศไทยมีพวกนี้มากมายในหมู่ดารานักแสดง นักการเมืองอันนี้น่าห่วง แล้วท่านจะรู้สึกเมื่อตกเก้าอี้บางคนก็อาจจะยังไม่รู้สึกเพราะตายคาเก้าอี้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไปก็เยอะ


     สำหรับคีย์สโตน นั้นแตกต่างกับบริษัทที่กล่าวมาแล้ว บริษัทนี้สร้างแต่หนังตลก ขนาดหนึ่งหรือ
สองม้วนจบเท่านั้น  เพื่อนำเข้าฉายประกอบในโปรแกรมประจำสัปดาห์ ซึ่งทุกรายการจะต้องมีหนังตลกเข้าฉายแทรกอยู่ด้วย  สมัยแรก ๆ จึงมีผู้แสดงตลกสังกัดอยู่ในบริษัทนี้มาก เช่น แม็ค เซนเนท, ชาลี แชปปลิน, บัสเตอร์ คีตัน, ฮาโรลด์ ลอยด์, สนั๊บ พอลลาร์ด, และฮารี่ แลงดอน,
เป็นต้น บทตลกที่นำมาแสดงก็เป็นบทตลกท่าทางในลักษณะจำอวด บางทีก็เป็นตลกอาศัยเร่ง
ความเร็วให้ดูลุกลี้ลุกลนวิ่งกันพล่าน แรก ๆ ก็ดูสนุกดีอยู่หรอก เมื่อซ้ำซากบ่อยเข้าก็กลายเป็นตลกฝืด
     ต่อมาค่ายบริษัทที่สร้างเรื่องพีเจอร์ก็พัฒนาเอาตลกเข้ามาแทรกอยู่ในหนังเรื่องด้วย อันจะทำให้ได้รสชาติ [Flavor] สนุกสนานขึ้นอีก โดยการหามุขตลกใหม่ ๆ มาแข่งขันในความคิด หรือไม่ก็สร้างหนังตลกให้เป็นเรื่องเป็นราว มีพระเอกนางเอกเสียเลย ด้วยเหตุนี้หนังตลกแบบคีย์สโตนก็เสื่อมโทรมลง  บรรดานักแสดงบทตลกที่มีอนาคตไกล เช่น ชาลี แชปปลิน, ฮาโรลด์ ลอยด์, 
บัสเตอร์ คีตัน และฮาร์รี่ แลงดอนต่างก็แยกย้ายไปแสดงหนังตลกพีเจอร์ให้บริษัทอื่น ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงและร่ำรวยไปตาม ๆ กัน  โดยเฉพาะชาลี แชปปลินโชคดีกว่าใคร ถึงกับตั้งบริษัทสร้างหนังเป็นของตนเอง แต่งเรื่อง  เขียนบท กำกับการแสดง รวมทั้งแสดงเอง เหมาทำเองหมดทุกอย่าง เป็นตลกที่ยึดอาชีพของเขาได้ยาวนานที่สุดอย่างรุ่งเรืองทุกสมัย



     นักดูหนังซีเรียลเมื่อชอบเรื่องที่ดูสนุกถูกใจต้องติดตามกันจนจบทุกราย  ต่างตั้งตาคอยดูต่ออาทิตย์หน้า
ครั้นรอถึงเวลากำหนดแต่ไม่มีเรื่องนั้นฉายให้ดู  ต้องเอาเรื่องอื่นมาฉายแทนทำให้ผิดหวังและเสียความรู้สึกไปบ้าง  หากเว้นไปเพียงอาทิตย์เดียวก็ไม่เป็นไรพอทนรอได้  ถ้าโดนเข้าสองสามอาทิตย์ยังไม่โผล่มาฉายให้ดูต่อก็ชักอารมณ์เสียต้องเข่นฆ่ากันทางวาจากันบ้าง


  
     จำได้ว่าเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เ้กิดขึ้นในอดีตครั้งหนึ่งหนังที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ชื่อเรื่อง "ตาวัว" [The bull's Eyes] เป็นหนังเคาบอยยอดนิยมแห่งยุคที่เดียว  สมัยนั้นถ้าเอ่ยถึง "ตาวัว"  ใครที่ไม่รู้จักก็นับว่าเชยชะมัด ความเด่นประการแรกคือ  เอ็ดดี้ โปโล  แสดงนำชื่อนี้รับประกันว่าเรียกคนดูแน่นขนัดเต็มโรงได้ทันที 
ส่วนผู้ที่แสดงเป็นนางเอก หรือตัวผู้ร้ายไม่จำเป็นต้องเอยถึงก็ได้  เพราะภายในโรงไม่มีที่เพิ่มให้นั่งอีกแล้ว


    เมื่อ "ตาวัว" ฉายไปถึงตอนที่เก้าและที่สิบ ซึ่งฉายอาทิตย์ละสองตอนตามมาตรฐานที่นิยมในเมืองไทย
พอถึงอาทิตย์หน้าก็ไม่มีตอนที่สิบเ้อ็ดและตอนที่สิบสองฉายตามกำหนด  โดยจัดเอาหนังเรื่องอื่นเข้าฉายแทน  มีผู้สอบถามไปทางโรงก็ได้ความว่าหนังตอนที่รอดูกันนั้นฟิล์มยังมาไม่ถึง  โดยทางโรงก็ไม่ทราบสาเหตุ  ต่อมาอีกอาทิตย์หนึ่งหนังเรื่อง "ตาวัว"  ที่รอคอยกันมานานนั้นจึงเดินทางมาจากสิงคโปร์ถึงกรุงเทพฯ แต่คราวนี้ทางโรงไม่ฉายควบสองตอนอย่างเคย  ขยักออกมาฉายที่ละตอนตามธรรมเนียมที่ฉายในอเมริกาและอื่น ๆ จนกระทั้งจบเรื่องในตอนที่สิบห้า ซึ่งทางคนดูก็ไม่เห็นมีใครต่อว่า ขอให้ได้ดูจบเรื่องก็เป็นที่พอใใจแล้ว



     ตอนนั้นทางประเทศไทยเราก็มีการผลิตภาพยนตร์ไทยกันแล้ว ได้มีการถ่ายทำหนังไทยเป็นครั้งแรก ฉายดูที่โรงหนังญี่ปุ่นหลวง  เป็นหนังตลกสองม้วนจบ ชื่อเรื่อง "หมวกปลิว" เรืองย่อ ๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้มีอยู่ว่า  มีสุภาพบุรุษนายหนึ่งแต่งตัวนุ่งผ้าม่วงสวมเสื้อราชปะแตนถุงเท้ารองเท้า สวมหมวกไหม ปานามา อันนับว่าอย่างทันสมัยใในเวลานั้น  เดินทอดน่องไปตามถนนตอนหน้าโรงเรียนราชินีล่าง พอก้าวขึ้นรถสายรอบเมืองหมวกสานเจ้ากรรมก็ปลิวตกไปที่ถนน  สุภาพบุรุษก็โดดลงไล่ตะครุบหมวกของตน แต่หมวกไม่ยอมให้จับ กลับปลิวหนีต่อไปอีก  สุภาพบุรุษก็ไม่ย่อท้อวิงไล่ตะครุบหมวกต่อไป  ตอนนี้เองได้สร้างความตลกขบขันให้ผู้ชม  โดยมีบุคคลต่าง ๆ ที่ผ่านมาพบต่างก็ได้ช่วยสุภาพบุรุษผู้นั้นไล่ตามหมวก ไปเป็นพรวน มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แขกขายถั่วมัน ๆ จีนลากรถ ตำรวจ ฯลฯ กว่าจะตะครุบหมวกได้ต้องผจญภัยต่าง ๆ ตาม ถนนที่ผ่าน ตกน้ำตกท่าไปกตลอดทาง
                               
                                        _________________________
สัมพันธ์ จันทร์ผา