อภิมหากาพย์ Mad Max
Mad Max 1
Mad Max (1979)
แมดแม็กซ์
Release Date : 12 April 1979 (Australia)
Director : George Miller
Writer : James McCausland (screenplay), George Miller (screenplay)
Cast :
- Mel Gibson
- Joanne Samuel
- Hugh Keays-Byrne
- Steve Bisley
- Tim Burns
- Roger Ward
- Lisa Aldenhoven
- David Bracks
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
เรื่องย่อ :
หนังแจ้งเกิดของ Mel Gibson ในบท แม็กซ์ ร็อคเก็ทแทนสกี้ นายตำรวจผู้พยายามสร้างความสงบสุขให้กับสังคมอันเหลวแหลกของออสเตรีเลีย แต่แล้วเขากลับต้องสูญเสียลูกและภรรยาไปด้วยน้ำมือของเหล่าวายร้ายที่ทำลายทุกความสงบสุขบนดินแดนนั้น แม็กซ์ จึงต้องการตามล่าล้างแค้นแบบสุดโหด และเขาก็เปลี่ยนตัวตน เขาไม่ได้เป็นผู้รักษากฏหมายอีกต่อไป เขาได้กลายมาเป็นนักล่าเหล่าร้ายแห่งท้องถนน เขากลายมาเป็น แมดแม็กซ์
คอแอ๊คชั่นน่าจะรู้จักหนังเรื่องนี้กันประมาณหนึ่งนะครับผม เรื่องราวการต่อสู้กับวายร้ายในโลกที่ไร้ขือแปในอนาคต จะว่าไปผมว่าหนังมันสนุกสะใจดีมากเลยครับ การเดินเรื่องค่อนข้างเร็ว โทนหนังมันก็เวิ้งว้างสุดๆ เป็นโลกอนาคตที่หม่นหมองมากเลยครับ ไม่ใช่มืดทึมนะครับ มันสว่างโล่เพราะฉากส่วนมากมันก็เป็นถนนหนทางกลางทะเลทรายนั่นแหละครับ มันดูกว้างใหญ่ แต่กลับให้อารมณ์ว่าสถานที่แห่งนี้ ไม่มีความสุขสงบใดๆ
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่ไม่ต้องใช้ทุนมาก แต่ทำได้ตรงเป้าเผงเลยครับ คือในเรื่องนั่นไม่ได้มีแค่ฉากบู๊ฉากการไล่ล่าที่สะใจเท่านั้น แต่มันยังให้อารมณ์เวิ้งว้างได้สำเร็จด้วย ให้ความรู้สึกประมาณว่าหมดหวัง และสภาวการณ์ของโลกก็กลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์อีกครั้ง นั่นคือ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ และนั่นคือสิ่งที่แม็กซ์เป็นและหากลองมองดูโลกเราตอนนี้ดีๆ ไอ้การแก่งแย่ง ใช้กำลังอำนาจเอาตัวรอดมันก็มีแทรกซึมอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
หนังเรื่องนี้แจ้งเกิดให้กับ เฮีย Mel ครับ แม้การแสดงจะไมไ่ด้ถึงกับสุดยอด แต่บทนายตำรวจคลั่งแห่งโกลอนาคตรายนี้ก็เหมาะกับเขาดีมาก คือตอนแรกพี่ท่านเป็นตำรวจธรรมดาที่ดูหนุ่มแน่นและไม่แหกกฏอะไร แต่พอเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น พี่ท่านก็กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งตอนแรกนั้นบทนี้เฮีย Mel แกไม่ได้ตั้งใจจะไปแคสหรอกครับ
คืองี้วันนั้นน่ะ เพื่อนของเฮีย Mel แกอยากไปแคสบทนี้ครับ เฮียแกก็ไปเป็นเพื่อน แล้วทีนี้ทีมงานเขาเกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวเฮียเขา นั่นคือ ความดุดันและแววความบ้าคลั่งแฝงอยู่ในแววตา เพราะเผอิญคืนก่อนที่เขาจะไปที่กองถ่ายเนี่ย เขาได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ครับ แล้วทีนี้พอเช้ามาหน้าตาพี่แกก้ยังบวมปูดบูดเบี้ยวอยู่ ทีนี้พอทีมงานเห็นก็เลยสนใจ เพาะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้ มีเลือดนักสู้ใจนักเลงอยู่เหมือนกัน เลยเอ่ยปากไปว่า ไว้ซักสามอาทิตย์ไว้แผลหายแล้วลองมาแคสบทดูสิ เฮีย Mel แกก็งงล่ะครับ ถามว่าทำไม ทีมงานเลยตอบมาว่า "we need freaks!" แปลก็ประมาณว่า บทเนี้ยเราต้องการคนประเภทประหลาด มีแววบ้าๆ หน่อยผมก็ไม่แน่ใจล่ะครับว่าพอเฮียแกได้ยินอย่างนี้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ที่แน่ๆ อีกสามอาทิตย์ต่อมาเขาก็กลับมาแคสจริงๆ และบทนี้ก็เป็นของเขาไปจนได้
และผมค่อนข้างทึ่งนะครับ ที่หนังเรื่องนี้ทุนต่ำ (400,000 โดยประมาณ) ข้าวของในหนังนั่นก็พยายามให้ราคาต่ำที่สุดนะครับ อย่างเช่น มอเตอร์ไซค์ที่ตั้งในหนังน่ะ เชื่อมั้ยครับว่าบางอันมันเป็นโมเดล ไม่ใช่ของจริง หรือกระทั่งรถหลายๆ คันในแต่ละฉากนั้นน่ะ บางคันมันก็คือรถคันเดิมจากฉากก่อนๆ แต่เอามาทาสีใหม่เท่านั้นเอง อืมม์ ประหยัดสุดๆ เลยครับ แต่ทว่าคุณภาพของหนังไม่ได้ลดด้อยลงไปเลย เพราะหนังมันสั้นแค่ชั่วโมงครึ่งและการเดินเรื่องก็ฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และการไล่บ่าช่วงท้ายก็สะใจคอหนังแนวนี้แท้ๆ เลยหดหู่และมันส์ตามสไตล์หนังเก่าๆ ครับ ค่อนข้างดิบๆ ด้วย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้สนุกสะใจ ไม่น่าผิดหวังครับ
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่ไม่ต้องใช้ทุนมาก แต่ทำได้ตรงเป้าเผงเลยครับ คือในเรื่องนั่นไม่ได้มีแค่ฉากบู๊ฉากการไล่ล่าที่สะใจเท่านั้น แต่มันยังให้อารมณ์เวิ้งว้างได้สำเร็จด้วย ให้ความรู้สึกประมาณว่าหมดหวัง และสภาวการณ์ของโลกก็กลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์อีกครั้ง นั่นคือ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ และนั่นคือสิ่งที่แม็กซ์เป็นและหากลองมองดูโลกเราตอนนี้ดีๆ ไอ้การแก่งแย่ง ใช้กำลังอำนาจเอาตัวรอดมันก็มีแทรกซึมอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
หนังเรื่องนี้แจ้งเกิดให้กับ เฮีย Mel ครับ แม้การแสดงจะไมไ่ด้ถึงกับสุดยอด แต่บทนายตำรวจคลั่งแห่งโกลอนาคตรายนี้ก็เหมาะกับเขาดีมาก คือตอนแรกพี่ท่านเป็นตำรวจธรรมดาที่ดูหนุ่มแน่นและไม่แหกกฏอะไร แต่พอเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น พี่ท่านก็กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งตอนแรกนั้นบทนี้เฮีย Mel แกไม่ได้ตั้งใจจะไปแคสหรอกครับ
คืองี้วันนั้นน่ะ เพื่อนของเฮีย Mel แกอยากไปแคสบทนี้ครับ เฮียแกก็ไปเป็นเพื่อน แล้วทีนี้ทีมงานเขาเกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวเฮียเขา นั่นคือ ความดุดันและแววความบ้าคลั่งแฝงอยู่ในแววตา เพราะเผอิญคืนก่อนที่เขาจะไปที่กองถ่ายเนี่ย เขาได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ครับ แล้วทีนี้พอเช้ามาหน้าตาพี่แกก้ยังบวมปูดบูดเบี้ยวอยู่ ทีนี้พอทีมงานเห็นก็เลยสนใจ เพาะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้ มีเลือดนักสู้ใจนักเลงอยู่เหมือนกัน เลยเอ่ยปากไปว่า ไว้ซักสามอาทิตย์ไว้แผลหายแล้วลองมาแคสบทดูสิ เฮีย Mel แกก็งงล่ะครับ ถามว่าทำไม ทีมงานเลยตอบมาว่า "we need freaks!" แปลก็ประมาณว่า บทเนี้ยเราต้องการคนประเภทประหลาด มีแววบ้าๆ หน่อยผมก็ไม่แน่ใจล่ะครับว่าพอเฮียแกได้ยินอย่างนี้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ที่แน่ๆ อีกสามอาทิตย์ต่อมาเขาก็กลับมาแคสจริงๆ และบทนี้ก็เป็นของเขาไปจนได้
และผมค่อนข้างทึ่งนะครับ ที่หนังเรื่องนี้ทุนต่ำ (400,000 โดยประมาณ) ข้าวของในหนังนั่นก็พยายามให้ราคาต่ำที่สุดนะครับ อย่างเช่น มอเตอร์ไซค์ที่ตั้งในหนังน่ะ เชื่อมั้ยครับว่าบางอันมันเป็นโมเดล ไม่ใช่ของจริง หรือกระทั่งรถหลายๆ คันในแต่ละฉากนั้นน่ะ บางคันมันก็คือรถคันเดิมจากฉากก่อนๆ แต่เอามาทาสีใหม่เท่านั้นเอง อืมม์ ประหยัดสุดๆ เลยครับ แต่ทว่าคุณภาพของหนังไม่ได้ลดด้อยลงไปเลย เพราะหนังมันสั้นแค่ชั่วโมงครึ่งและการเดินเรื่องก็ฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และการไล่บ่าช่วงท้ายก็สะใจคอหนังแนวนี้แท้ๆ เลยหดหู่และมันส์ตามสไตล์หนังเก่าๆ ครับ ค่อนข้างดิบๆ ด้วย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้สนุกสะใจ ไม่น่าผิดหวังครับ
อภิมหากาพย์ Mad Max 2
The Road Warrior (1981)
Mad Max 2:The Road Warrior (1981)
แมดแม็กซ์ 2
Release Date : 21 May 1981 (USA)
Director : George Miller
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Michael Preston
- Max Phipps
- Vernon Wells
- Kjell Nilsson
- Emil Minty
- Virginia Hey
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
แมดแม็กซ์ 2
Release Date : 21 May 1981 (USA)
Director : George Miller
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Michael Preston
- Max Phipps
- Vernon Wells
- Kjell Nilsson
- Emil Minty
- Virginia Hey
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
เรื่องย่อ :
ภาคต่อของแมดแม็กซ์ ครั้งนี้ เขาต้องผจญภัยในโลกที่อนาคตที่ไร้อารยธรรมตามลำพัง และเขาก็ได้เจอกับลอร์ด ฮิวมันกัส (Kjell Nilsson) วายร้ายคนใหม่ ที่หวังจะครอบครองอาณาจักรแห่งเชื้อเพลิง ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นที่อยู่ของผู้นที่รักสันดิ งานนี้แม็กซ์เลยกลับมาแมดอีกครั้ง เพื่อพิทักษ์ความสงบสุขหนังภาคนี้ทำได้ดีและมันส์ยิ่งกว่าภาคแรกครับ ฉากการตีกันก็ทำได้ที่ดีมาก ยิ่งช่วงท้ายนี่ก็เต็มสูบกันไปล่ะครับ กับการไล่ล่ากันด้วยรถ ซึ่งบอกได้ว่าน่าจะถูกใจคอแอ๊คชั่นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกที่ชอบความเร็วและแรงน่ะนะครับ
ภาคนี้ลงทุนมากขึ้น ซึ่งก็สมควรล่ะครับ เอาแค่ฉากอาณาจักรแห่งเชื้อเพลิงนั่นก็ต้องลงทุนเยอะอยู่แล้ว แต่ผลที่ได้ออกมานั้นผมถือว่าคุ้มเลยนะฮะ เพราะความมันส์มันเพิ่มขึ้น ตัวละครก็หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ Bruce Spence ที่มารับบทเป็นคนขับคอปเตอร์จิ๋วที่เป็นตัวเพิ่มอารมณ์ขันให้กับหนังได้พอสมควรเลยครับ
อันนี้ผมคงไม่ขอว่าอะไรยาวล่ะนะครับ เพราะหนังมันสนุกเอามันส์ล้วนๆ อารมณ์ก็ดิบๆ แม้จะไม่มากเท่าภาคแรก แต่ก็ยังถือว่าดิบอยู่ครับ ไม่ควรพลาดน่ะ
Mad Max Beyond Thunderdome (1985)
Mad Max Beyond Thunderdome (1985)
แมดแม็กซ์ 3 ตอน โดมบันลือโลก
Release Date : 10 July 1985 (USA)
Director : George Miller, George Ogilvie
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Adam Cockburn
- Tina Turner
- Frank Thring
- Angelo Rossitto
- Paul Larsson
- Angry Anderson
Genres : Action | Sci-Fi | Adventure
Director : George Miller, George Ogilvie
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Adam Cockburn
- Tina Turner
- Frank Thring
- Angelo Rossitto
- Paul Larsson
- Angry Anderson
Genres : Action | Sci-Fi | Adventure
เรื่องย่อ :
ภาคปิดท้ายไตรภาค ครั้งนี้แมดแม็กซ์ (Mel Gibson) ต้องไปเผชิญกับอานตี้ แอนติตี้ (Tina Turner) ผู้ครองอาณาจักรกลางทะเลทรายผู้ชั่วร้าย
หนังภาคนี้ผมรู้สึกว่าอ่อนลงกว่าตอนที่แล้วๆ มากครับ ฉากแอ๊คชั่นก็พอมี แต่การเดินเรื่องไม่จับใจเท่าภาคก่อนๆ อีกแล้ว บางช่วงก็อืดจนเกินงาม ความเร้าใจก็ไม่ค่อยมี ซึ่งแม้ฉากแอ๊คชั่นจะเข้าท่า แต่หนังกลับพยายามเพิ่มเนื้อหาเข้ามาทำให้ความอืดมันเพิ่มปริมาณมากจนเกินไป และในภาคนี้ก็มีผู้กำกับ 2 คนด้วยกันครับ รายแรกก็คือ George Miller ผู้รับหน้าที่กำกับหนัง 2 ภาคแรกมาก่อน ซึ่งพี่เขารับหน้าที่เกี่ยวกับฉากแอ๊คชั่นซึ่งผลก็ยังน่าพอใจครับ ส่วนผู้กำกับอีกรายก็คือ George Ogilvie ซึ่งมารับหน้าที่กำกับในส่วนที่เป็นเนื้อหาและฉากเกี่ยวกับดราม่านะฮะ ซึ่งต้องขอบอกว่าไอ้ที่อืดก็เพราะตรงนี้นี่แหละครับ
ภาคก่อนมันกระหน่ำแอ๊คชั่นและฉากจินตนาการ ซึ่งแม้ในภาคนี้สิ่งเหล่านั้นมันจะพอมี แต่มันก็โดนเนื้อหาเชิงดราม่ามาแย่งความสนุกลงไป จริงๆ ผมว่าฉากแนวแสดงอารมณ์ตัวละครนั้นมันก็เป็นอะไรที่ดีนะครับ แต่เผอิญกับหนังอย่าง Mad Max เนี่ย มันเน้นที่ความมันส์ครับ ส่วนไอ้เรื่องดราม่านั่นมันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อยน่ะ และยิ่งกว่านั้นคือมันทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่ด้วย ความน่าเบื่อมันเลยค่อยๆ ซึมเข้ามาแทน
หนังบางเรื่องสนุกน้อยลงเพราะไม่มีเนื้อหา แต่กับบางเรื่อง เพราะพยายามใส่เนื้อหาลงมามากเกินไปนี่แหละที่ทำให้ความพอดีที่พึงมีจางหายไปอย่างน่าเสียดาย
คิดง่ายๆ เหมือนเราทำอาหารน่ะครับ อะไรที่หวานไปหรือเปรี้ยวไปก็ย่อมทำให้รสชาติกร่อยได้ หรือกับอาหารบางจำพวก เช่นเค้กที่มันควรจะหอมหวาน แต่หากไปเพิ่มรสเค็มล่ะ มันก็แหม่งๆ น่ะสิครับ และกับเรื่องนี้ มันออกจะเพิ่มรสที่ไม่จำเป็นเข้ามามากไปหน่อยน่ะครับ
ก็เป็นการสรุปไตรภาคได้ไม่ถึงใจนัก แต่ก็พอทำเนาครับ
ภาคปิดท้ายไตรภาค ครั้งนี้แมดแม็กซ์ (Mel Gibson) ต้องไปเผชิญกับอานตี้ แอนติตี้ (Tina Turner) ผู้ครองอาณาจักรกลางทะเลทรายผู้ชั่วร้าย
หนังภาคนี้ผมรู้สึกว่าอ่อนลงกว่าตอนที่แล้วๆ มากครับ ฉากแอ๊คชั่นก็พอมี แต่การเดินเรื่องไม่จับใจเท่าภาคก่อนๆ อีกแล้ว บางช่วงก็อืดจนเกินงาม ความเร้าใจก็ไม่ค่อยมี ซึ่งแม้ฉากแอ๊คชั่นจะเข้าท่า แต่หนังกลับพยายามเพิ่มเนื้อหาเข้ามาทำให้ความอืดมันเพิ่มปริมาณมากจนเกินไป และในภาคนี้ก็มีผู้กำกับ 2 คนด้วยกันครับ รายแรกก็คือ George Miller ผู้รับหน้าที่กำกับหนัง 2 ภาคแรกมาก่อน ซึ่งพี่เขารับหน้าที่เกี่ยวกับฉากแอ๊คชั่นซึ่งผลก็ยังน่าพอใจครับ ส่วนผู้กำกับอีกรายก็คือ George Ogilvie ซึ่งมารับหน้าที่กำกับในส่วนที่เป็นเนื้อหาและฉากเกี่ยวกับดราม่านะฮะ ซึ่งต้องขอบอกว่าไอ้ที่อืดก็เพราะตรงนี้นี่แหละครับ
ภาคก่อนมันกระหน่ำแอ๊คชั่นและฉากจินตนาการ ซึ่งแม้ในภาคนี้สิ่งเหล่านั้นมันจะพอมี แต่มันก็โดนเนื้อหาเชิงดราม่ามาแย่งความสนุกลงไป จริงๆ ผมว่าฉากแนวแสดงอารมณ์ตัวละครนั้นมันก็เป็นอะไรที่ดีนะครับ แต่เผอิญกับหนังอย่าง Mad Max เนี่ย มันเน้นที่ความมันส์ครับ ส่วนไอ้เรื่องดราม่านั่นมันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อยน่ะ และยิ่งกว่านั้นคือมันทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่ด้วย ความน่าเบื่อมันเลยค่อยๆ ซึมเข้ามาแทน
หนังบางเรื่องสนุกน้อยลงเพราะไม่มีเนื้อหา แต่กับบางเรื่อง เพราะพยายามใส่เนื้อหาลงมามากเกินไปนี่แหละที่ทำให้ความพอดีที่พึงมีจางหายไปอย่างน่าเสียดาย
คิดง่ายๆ เหมือนเราทำอาหารน่ะครับ อะไรที่หวานไปหรือเปรี้ยวไปก็ย่อมทำให้รสชาติกร่อยได้ หรือกับอาหารบางจำพวก เช่นเค้กที่มันควรจะหอมหวาน แต่หากไปเพิ่มรสเค็มล่ะ มันก็แหม่งๆ น่ะสิครับ และกับเรื่องนี้ มันออกจะเพิ่มรสที่ไม่จำเป็นเข้ามามากไปหน่อยน่ะครับ
ก็เป็นการสรุปไตรภาคได้ไม่ถึงใจนัก แต่ก็พอทำเนาครับ
________________________
Sampan Chanpa
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น