วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Seven Samurai 1954
Seven Samurai 1954
กำกับ Akira Kurosawa
สร้าง Sojiro Motoki
เขียนบท Akira Kurosawa, Shinobu Hashimoto, Hideo Oguni
ดนตรี Fumio Hayasaka
ถ่ายภาพ Asakazu Nakai
ตัดต่อ Akira Kurosawa
เวลา 207 min.
ประเทศ Japan
ภาษา Japanese
แนว drama action
Cast
Takashi Shimura ... Kambei Shimada
Toshirô Mifune ... Kikuchiyo
Yoshio Inaba ... Gorobei Katayama
Seiji Miyaguchi ... Kyuzo
Minoru Chiaki ... Heihachi Hayashida
Daisuke Katô ... Shichiroji
Isao Kimura ... Katsushiro Okamoto
Keiko Tsushima ... Shino
Yukiko Shimazaki ... Rikichi's Wife
Kamatari Fujiwara ... Manzo, father of Shino
Yoshio Kosugi ... Mosuke
Bokuzen Hidari ... Yohei
Yoshio Tsuchiya ... Rikichi
Kokuten Kodo ... Gisaku, the Old Man
Takuzo Kumagaya ... Peasant (as Jiro Kumagai)
มีคนเปรียบอภิมหาผู้กำกับชาวอาทิตย์อุทัย Akira Kurosawa คือ "John Ford แห่งตะวันออก"
หากจะให้เดา Kurosawa อาจไม่ปฏิเสธสมญานี้ เพราะความคลั่งไคล้ในตัวผู้กำกับ John Ford น่าจะมีส่วนทำให้หนังของเขาเต็มไปด้วยมีกลิ่นอายของตะวันตก
ความคิดที่กล่าวมาข้างต้น อาจใช้อธิบายว่า ทำไมหนังซามูไรหลายเรื่องของ Kurosawa ถูกแปลงเป็นหนังเคาบอยตะวันตกอย่างง่ายดาย Rashomon (1950) ถูกฮอลลีวู้ดเอาไปทำเป็นหนังเคาบอยชื่อ The Outrage (1964) พระเอก Paul Newman รับบทโจรร้าย บทเดียวกับที่ Toshiro Mifune แสดงในหนังญี่ปุ่นต้นฉบับ
หนังซามูไร Yojimbo (1961) ถูกผู้กำกับ Sergio Leone นำมาสร้างใหม่เป็นหนังเคาบอยมะกะโรนี A Fistful of Dollars (1965) เรื่องแรกในชุดไตรภาค The Dollars Trilogy ที่สร้างชื่อให้กับพระเอก Clint Eastwood จากบทเคาบอยนิรนาม (man with no name)
แต่ในบรรดาหนังฮอลลีวู้ดที่สร้างจากหนังต้นฉบับของ Kurosawa มีแค่ The Magnificent Seven (1961) เรื่องเดียวที่เข้าข่ายประสบความสำเร็จมากที่สุด The Magnificent Seven ดัดแปลงมาจาก Seven Samurai หนังซามูไรยิ่งใหญ่ระดับ epic
พล็อตของ Seven Samurai ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ใช้ญี่ปุ่นศตวรรษที่ 16 เป็นฉาก เหตุเกิดที่หมู่บ้านกลางป่าที่ถูกโจรร้ายปล้นหลังเก็บเกี่ยวทุกปี ความยากแค้นทำให้ชาวบ้านบางคนอดรนทนไม่ได้ อยากลุกขึ้นสู้ แต่เพราะไร้ความสามารถทางการรบ จึงบากหน้าไปหาซามูไรมาสู้แทน
แต่เดิมเริ่มแรก Kurosawa คิดอยากทำหนังที่บรรยายถึงชีวิตของซามูไรคนหนึ่งภายในช่วงเวลาหนึ่งวัน เริ่มจากตื่นนอนและจบลงด้วยการคว้านท้องตัวเองเพื่อรักษาเกียรติ แต่หลังจากศึกษารอบด้าน Kurosawa พบว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะทำหนังที่ว่า ก็เลยเปลี่ยนใจ แล้วก็ให้บังเอิญที่ Kurosawa ได้อ่านบทความเรื่องเกี่ยวกับชาวนาจ้างซามูไรมาปกป้องหมู่บ้าน เขาเห็นเข้าท่า ก็เลยเอาความคิดนี้มาผูกเรื่อง Kurosawa สร้างตัวละครสำคัญที่มีบทพูดในด้านลึก ลงรายละเอียดถึงขนาดคนเหล่านี้แต่งตัวอย่างไร ชอบกินอะไร มีปูมหลังอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร และอีกสารพัดรายละเอียดที่คิดออก วิธีการนี้ยังไม่เคยมีผู้กำกับหนังญี่ปุ่นคนไหนทำมาก่อน
ภายใต้พล็อตที่แสนเรียบง่ายของ Seven Samurai หนังกลับสะท้อนภาพสังคมญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามในแง่มุมหลากหลายมิติ แม้จะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่เหตุการณ์ในหนังตั้งบนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ช่วงศตวรรษที่ 16 ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 1587-1588 ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะสงครามรบพุ่งแย่งชิงอำนาจในหมู่ซามูไรตระกูลใหญ่ผู้ครอบครองปราสาท ผลพวงที่ตามมาคือโรนิน (Ronin) ซามูไรไร้นาย
ซามูไรคือทหาร แลกชีวิตในการรบกับการอุปถัมภ์ค้ำชูของชายซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองปราสาท หากนายเสียชีวิต ซามูไรที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ยอมเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย เต็มใจเปลี่ยนสภาพจากซามูไรเป็นโรนิน พเนจรไปทั่วทุกสารทิศ หาเลี้ยงชีพด้วยความสามารถเดียวที่มี คือการใช้อาวุธผลาญชีวิตผู้คน
แม้ Kurosawa จะสืบตระกูลจากซามูไรเก่า แต่เขาก็มองภาพซามูไรตามความเป็นจริง ซามูไรมีทั้งที่เก่งแต่ปากกับเก่งตัวจริง มีทั้งที่ชอบใช้อำนาจรังแกผู้อื่นกับที่กล้าสละชีวิตช่วยผู้ที่ถูกอำนาจ เถื่อนรังแก
Kambei Shimada หัวหน้ากลุ่ม 7 เซียนซามูไรคือตัวแทนของซามูไรที่แม้จะผ่านร้อนหนาวนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังยึด มั่นในคุณธรรม หลังตระหนักชัดแจ้งว่า ข้าวคือสิ่งที่มีค่าอย่างเดียวในชีวิตชาวนา เป็นค่าจ้างที่ประเมินคุณค่าไม่ได้ Kambei เป็นคนแรกที่ยอมแลกชีวิตกับค่าจ้างแค่ข้าววันละ 3 มื้อที่ชาวนาเสนอให้
ช่วงเปิดตัว Kambei หนังแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของซามูไรคนนี้ เขายอมโกนหัว ปลอมตัวเป็นพระ เพื่อช่วยลูกชาวนาที่ถูกโจรจับเป็นตัวประกัน ตามธรรมเนียมซามูไร การโกนหัวถือเป็นเรื่องใหญ่ แทนความหมาย 2 นัย ถ้าไม่ใช่การทิ้งทางโลกย์เพื่อไปสู่ทางธรรม ซามูไรโกนหัวคือผู้ที่ถูกลงโทษขั้นรุนแรง ถูกอัปเปหิจากความเป็นซามูไร
หลังช่วยชีวิตเด็กสำเร็จ Kambei เดินจากสถานที่เกิดเหตุเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
Kyuzo ซามูไรร่างเล็ก ไอ้เสือยิ้มยาก แต่เพลงดาบเฉียบขาด เก่งกาจกว่าพรรคพวกทั้ง 6 คน คือบุรุษผู้เข้าถึงจิตวิญญาณแท้จริงของซามูไร เงียบขรึม รักสันโดษ ถ่อมตน ฝึกฝนฝีมือจนบรรลุขีดสูงสุด เป็นนักฆ่าที่ชอบหลีกเลี่ยงการฆ่าหากสามารถ
ถ้าครึ่งแรกเป็นการนำเสนอภาพของซามูไร ครึ่งเรื่องหลัง ก็คือการนำเสนอภาพของชาวนา
ก้าวเท้าแรกที่มาถึงหมู่บ้าน ซามูไรทั้งเจ็ดพบแต่ความว่างเปล่า ชาวบ้านปฏิบัติตัวกับซามูไรไม่ต่างกับโจร ต่างแอบซ่อนตัวเพราะกลัวอันตราย
ซามูไรทั้งเจ็ดเริ่มวางแผนการรับมือกลุ่มโจร ฝึกฝนชาวนาให้รู้จักการรบ ความสัมพันธ์ระหว่างซามูไรกับชาวนาพัฒนาในทางที่ดี จนกระทั่งวันหนึ่ง Kikuchiyo หนึ่งในเจ็ดซามูไรขนเกราะ ดาบ สารพัดอาวุธยุทโธปกรณ์มาให้พรรคพวกใช้หวังเอาใจ โดยหารู้ไม่ว่า การกระทำนั้นสร้างความโกรธแค้นให้กับเหล่าซามูไรแท้ ขนาดคิดฆ่าทิ้งชาวนาทั้งหมู่บ้าน เพราะทั้งเกราะและดาบที่เห็น ล้วนถูกแย่งชิงจากซามูไรบาดเจ็บ และหลายคนในนั้นอาจถูกชาวนาฆ่า!!
แต่ก่อนที่ความขัดแย้งจะบานปลาย Kikuchiyo ลูกชาวนาที่พ่อแม่ถูกโจรฆ่าตายเปิดอีกมุมมองให้กับเหล่าซามูไร เขายอมรับว่าชาวนาไม่ใช่คนดี โกหก เจ้าเล่ห์ ไว้ใจไม่ได้ เวลาถูกถามว่ามีข้าวหรือเปล่า ชาวนาจะตอบว่าไม่มี แต่ความจริงแอบซ่อนไว้ เวลามีสงคราม ชาวนาจะเหลาไม้ไผ่ปลายแหลมเตรียมล่าซามูไรที่บาดเจ็บป้องกันตัวเองไม่ได้ แต่คนที่ทำให้ชาวนาเป็นเช่นนี้ ก็คือพวกซามูไร ทุกครั้งที่มีสงคราม หมู่บ้านถูกเผา ทุ่งนาถูกเหยียบย่ำทำลาย อาหารถูกแย่งชิง ผู้หญิงถูกข่มขืน ผู้ชายถูกจับเป็นทาส ใครขัดขืนก็จะถูกซามูไรฆ่าทิ้ง เช่นนี้แล้ว ซามูไรกับโจรต่างกันตรงไหน!?
ผู้รู้วิเคราะห์ว่า ฉากนี้เป็นความต้องการส่วนตัวของ Kurosawa ที่ต้องการขอโทษแทนชนชั้นซามูไรที่นำประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามสร้างความ เดือดร้อนทุกข์ยากสาหัสกับชาวญี่ปุ่นนานหลายศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ร่วมสมัย (ขณะนั้น) สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน!
มนุษย์ไม่ว่าชนชั้นไหน มีทั้งดีและเลว นี่คือสิ่งที่ Kurosawa พูดเสมอในหนังของเขา
สุดท้าย Kikuchiyo ที่แม้เป็นลูกชาวนา แต่ก็เลือกตายอย่างซามูไรทรงเกียรติได้
Kurosawa ทำ Seven Samurai เป็นหนังที่ดูได้อย่างสนุกสนานไม่เบื่อ การสร้างตัวละครที่น่าสนใจ วิธีการคัดเลือกซามูไรของ Kambei การวางแผนรบอันแยบยล ฉากการรบแตกหักกลางฝนที่ตื่นเต้นเร้าใจ อารมณ์ขันที่แทรกตัวเป็นระยะ ช่วยสลับอารมณ์หนักเบาให้กับเรื่อง
เมื่อภารกิจลุล่วง ไม่มีที่ว่างในหมู่บ้านเหลือให้กับซามูไรที่รอดชีวิต "ซามูไรผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนสายลม" Kambei บอก "แผ่นดินคงอยู่ต่อไป ชาวนาก็จะยังอยู่คู่ผืนนาของพวกเขา"
อีกครั้งที่ Kambei เดินจากสถานที่เกิดเหตุเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รางวัลที่เขาได้คือความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง
ท้ายที่สุด ผู้ปราชัยคือซามูไร ชนชั้นที่ถูกกวาดตกขอบประวัติศาสตร์ ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีพลังใดทัดทาน
นี่อาจเป็นคำอธิบายว่า ทำไม Kurosawa เจาะจงให้ซามูไรตายด้วยกระสุนปืน...อาวุธสมัยใหม่...ที่ไม่รู้ยิงจากไหน แทนที่จะตายด้วยคมดาบ จากศัตรูที่อยู่ตรงหน้า!?
Kurosawa มีสไตล์การทำหนังของตัวเอง เขาให้ความสำคัญกับการตัดต่อ ใช้เลนส์ telephoto จับภาพใกล้ตัวละคร ใช้ภาพ slow-mo ในฉากต่อสู้ แบบที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน
แม้ Seven Samurai จะเป็นหนังแอ็กชั่น แต่ก็งามพร้อมด้วยศิลปภาพยนตร์ หากมองจากมุมด้านเทคนิคที่นำมาใช้ในหนัง พูดได้เต็มปากว่า Kurosawa คือหนึ่งในปรมาจารย์ผู้วางรากฐานสำคัญให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ เขาได้รับการยอมรับนับถือสุดหัวใจจากผู้กำกับระดับบิ๊กของฮอลลีวู้ด ไม่ว่าจะเป็น George Lucas, Steven Spielberg, Martin Scorsese และ Francis Ford Coppola
ความที่เนื้อหาในหนังมีมากมาย ตัวละครเด่นฝ่ายซามูไรมีถึง 7 ตัว ไม่รวมตัวละครสำคัญฝ่ายชาวนาที่นับจำนวนแล้วไม่น้อยกว่ากัน อีกทั้งยังต้องยกกองไปถ่ายทำกันตามป่าเขาซึ่งเป็นโลเคชั่นจริง ทำให้ Seven Samurai กลายเป็นหนังทุนสร้างสูง ใช้เวลาถ่ายทำนานนับปีกว่าจะปิดกล้อง
ความที่งบสร้างบานปลายไม่มีท่าจะว่าจบตรงไหน ทำให้บริษัท Toho ผู้สร้างรู้สึกไม่แน่ใจในอนาคตของหนัง หลายครั้งถึงกับคิดเลิกสร้างกลางคัน เคยมีการโทรเลขไปถึง Kurosawa กลางป่า เรียกตัวกลับด่วน Kurosawa ตอบกลับโทรเลขฉบับนั้นว่า ทางเลือกของหนัง Seven Samurai มีให้เลือกแค่ 2 ทาง ถ้าไม่ไล่เขาออกจากตำแหน่งผู้กำกับ ก็ไม่ต้องมายุ่มย่ามการทำงานของเขาให้เสียอารมณ์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม Toho ตกลงปล่อย Kurosawa ไว้ที่โลเคชั่นตามเดิม การตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งสำคัญที่มีผลต่อคนทั้งโลก
เพราะมีเพียง Akira Kurosawa คนนี้นี่แหละ ที่ทำให้ Seven Samurai กลายเป็นผลงานหนังระดับ masterpiece จนกระทั่งทุกวันนี้
=============================
Seven Samurai~ : เจ็ดเซียนซามูไร
สร้างเมื่อปี ๑๙๕๔ .. นับเนื่องถึงปัจจุบัน ก็ครบรอบ ๕๓ ปีไปแล้ว ทว่า หนังขาว-ดำ เรื่องนี้ ยังคงคุณค่าอยู่เหนือกาลเวลา...
อากิระ คุโรซาว่า ถูกยกย่องให้เป็น "ปรมาจารย์ซามูไร" ทั้งที่สร้างหนังเกี่ยวกับ ซามูไรแท้ ๆ เพียง ๓ เรื่อง .. นั่นคือ เรื่องนี้ และ หนังชุด โยจิมโบ ซึ่งมีภาคสองคือ ซันจูโร่ ...
ตำนาน ของเจ็ดเซียนซามูไร เริ่มต้นขึ้นเมื่อ กลุ่มโจรเข้าปล้นหมู่บ้านชาวนาที่แสนยากจน ปล้นสะดมเอาข้าวที่เหล่าชาวนาทะนุถนอมมาเป็นแรมปี และยังฉุดคร่าหญิงสาวในหมู่บ้านไปบำเรอความสุข... ทั้งหมดทั้งมวล ยังความแค้นเคืองให้ชาวบ้านนำความไปปรึกษาท่านผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เพื่อดัีบความทุกข์เข็ญของตน ท่านผู้เฒ่าแนะนำให้จ้าง "ซามูไร" มาเสีย ๔ - ๕ คน เพื่อมาปกป้องหมู่บ้านจากเหล่าโจรไพร ...ซามูไรที่อดอยากจากสงคราม ย่อมกระหายจะทำศึก แม้ผลตอบแทนเพียงข้าวแต่ละมื้อก็พอเป็นค่าจ้างได้ .. กล่าวดังนั้น ชาวบ้าน ๓ คนจึงมุ่งหน้าเข้ากรุงเพื่้อตามหา ซามูไร ที่ยอมรับงานนี้ แต่ความโหดร้ายของเมืองกรุง .. การควานหา ซามูไรที่แท้จริง นั้นยากยิ่งกว่าการรักษาข้าวที่พวกเขาหอบหิ้วมาด้วยซ้ำ ... ซามูไรกินฟรี ผ่านมาฟังข้อเสนอและผ่านไปพร้อมกับท้องที่อิ่มจากข้าวของพวกเขา แต่ไม่มีสักคนที่จะตอบรับข้อเสนออันแสนรันทดนี้.. จนกระทั่ง ความบังเอิญชักนำให้ชาวบ้านทั้ง ๓ ไปประสบกับเหตุการณ์ช่วยเหลือตัวประกันของซามูไรท่านนึง ที่ยอมกระทั่งโกนหัวเพื่อปลอมเป็นพระ .. ล่อลวงคนร้ายให้ตายใจ ก่อนจะสังหารอย่างฉับไวเพื่อช่วยเหลือเด็กทารกตัวประกันไว้อย่างปลอดภัย ... และ นามของซามูไร ผู้นั้น คือ คัมเบอิ ซึ่งกลายเป็น ซามูไร ผู้นำที่ร่วมเสาะหา ซามูไร ที่ยอมร่วมหัวจมท้ายกับเขาในการปกป้องหมู่บ้านชาวนา จนกระทั่งพบความจริงอันน่าตกตะลึง และนำไปสู่การต่อสู้อันแสนดุเดือดระหว่าง ซามูไรทั้งเจ็ด กับ โจรไพรเหยียบร้อยคน...
คุโรซาว่า สร้าง ตัวละคร ซามูไรทั้งเจ็ด จากบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่ตัวละครที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้น ซามูไรเก๊ ที่แสดงโดย โตชิโร มิฟูเน่ ดาราคู่บุญ ที่ออกมาขโมยซีนได้ตลอด .. ซึ่งเรื่องนี้ เขารับบทบาทที่ตรงข้ามกับ บทบาทใน โยจิมโบ โดยสิ้นเชิง .. มิฟูเน่ เป็นซามูไรหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ แต่กระหายจะเข้าร่วมกลุ่มเจ็ดเซียนดังกล่าว กระทั่งการปั้นเรื่องให้ตนเป็นซามูไรที่เก่งกล้านั้น ก็เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว การแสดงความเก่งกล้าจนเข้าขั้นบ้าระห่ำนั้น มิฟูเน่ แสดงได้อย่างไม่มีที่ติ และทำให้เราทั้งรักทั้งชังตัวละครนี้ ... กระทั่งสุดท้าย เราเองก็ยินดีไปกับความสำเร็จของตัวละครนี้ ที่ท้ายที่สุดก็ถูกขนานนามเป็น ซามูไำรที่แท้จริง
อีกคนที่น่าจดจำ เพราะบทส่งเหลือเกินและยังเป็นตัวเดินเรื่องที่สำคัญ นั่นคือ บท คัมเบอิ ซามูไรหัวหน้ากลุ่มเจ็ดเซียน รับบทโดย ทากาชิ ชิมุระ ดาราขาประจำอีกคนของ คุโรซาว่า .. ชิมุระ สร้างความแตกต่างระหว่าง ซามูไำรที่แท้จริง กับ ซามูไรเก๊ ของ มิฟุเน่ ได้อย่างเด่นชัด ยิ่งเมื่อเข้าฉากร่วมกันเมื่อใด เราก็ยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างสองตัวละครนี้ชัดเจน ทว่า ในความต่างนั้น ทั้งสองตัวละครก็เป็นเสมือนกระจกที่สะท้อนกันและกันอยู่ กระทั่งเมื่อหนังเดินมาถึงช่วงท้าย ตัวละครของ มิฟุเน่ ก็เติบโตกลายเป็น ซามูไร ในเส้นทางที่ ตัวละครของ ชิมุระ แสดงให้เขาเห็นตลอดทั้งเรื่อง ...
แม้ หนังจะถูกจัีดให้เป็นหนึ่งในหนังแอคชั่นที่เยี่ยมยุทธที่สุดเรื่องนึง แต่เนื้อแท้หนังกลับมุ่งประเด็นโจมตีช่องว่างระหว่าง ศักดินาและชาวนา อย่างชัดเจน เพราะ ซามูไร คือผู้รับใช้ระบบศักดินาอย่างแท้จริง กระทั่ง ระบบดังกล่าวในปัจจุบันถูกแปรเปลี่ยนจากการรับใช้ผู้มีอำนาจทางการเมือง เป็นผู้มีอำนาจทางการเงินแทนแล้ว ซามูไรรับจ้างเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ หากแต่แปรเปลี่ยนสถานะเป็นอื่นแทน มิใช่ ซามูไร ที่ถือดาบเดินก๋าอยู่ในเมืองเช่นแต่เก่าก่อน .. นักรบที่ต่อสู้เพื่อชาวนาตอบแทนข้าวที่ปลูกให้กิน จึงเป็นนักรบในอุดมคติ ที่คุโรซาว่า อยากจะเห็นในปัจจุบัน ...
หากนาที่ชาวนาเฝ้าทะนุถนอม ถูกทอดทิ้งให้รกร้าง ... ผู้เดือดร้อนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรา ๆ ที่ต้องคอยพึุ่งบุญชาวนาที่ปลูกข้าวให้เรากินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ..และที่จะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ก็คงจะหนีไม่พ้นชนชั้นปกครอง ที่ต้องการแรงสนับสนุนจากทุกหน่วยในสังคม ... ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ..
แต่หากเหล่าผู้มีอำนาจปกครอง ทอดทิ้งชาวนา เมื่อใด ...
ความชิบหายก็คงจะมาเยือนในไม่ช้า ...
สิ่งที่ซามูไรทั้งเจ็ดปกป้อง จึงมิใช่นาข้าวที่สุกเต็มรวง ...
แต่เป็น "ชาวนา" ที่คอยทะนุถนอมปลูกข้าวจากเมล็ดสู่รวงที่ทอแสงเหลืองประกายเต็มทุ่งยามหน้าเก็บเกีั่ยวนั่นเอง ...
(Seven Samurai 1954 (Criterion Collection)
_____________________________
Sampan Chanpa
วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556
The Bourne Identity (2002)
The Bourne Identity (2002)
The Bourne Identity (2002)
แนว : แอ็คชั่น / ระทึกขวัญ
เรื่องย่อ :
ผู้สูญเสียความทรงจำคนหนึ่ง (แม็ทท์ เดมอน) ได้รับการช่วยชีวิตจากทะเล โดย
ลูกเรือของเรือหาปลาอิตาลี เขาอยู่ในสภาพเกือบตาย ไม่มีสมบัติอะไรเลย มีเพียงลูกกระสุนที่หลัง กับหมายเลขบัญชีธนาคารในที่สวิส ที่ฝังไว้ในสะโพกเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ว่า เขาเป็นใครมาจากไหน แต่เขาก็มีทักษะพิเศษ ในการต่อสู้ ภาษาศาสตร์ และศิลปะการป้องกันตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงอดีตที่น่ากลัวของเขา ปัจจุบันเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และอยากรู้อย่างเร่งด่วนว่า ตนเองเป็นใคร และเพราะเหตุใด ชีวิตของเขาจึงพลิกผันอย่างน่ากลัวเช่นนี้ในกล่องนิรภัยของธนาคารที่สวิส มีพาสปอร์ตประเทศต่างๆ เงินสดก้อนใหญ่ และปืน และชื่อ...
เจสัน บอร์น และที่อยู่ในปารีส สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาสำ หรับเขา แต่บอร์นตระหนักในทันทีว่า แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักใครเลย ก็ยังมีคนที่รู้จักเขา และคิดร้ายกับเขา เมื่อเขาพบกับ มารี ครูทซ์ (ฟรังกา โพเทนท์) บอร์นต้องจ่ายถึง 10,000 เหรียญให้มารี สำหรับการขับรถพาเขาไปปารีส แต่มารีหารู้ไม่ว่า การเดินทางครั้งนี้ จะทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เส้นทางอดีตของบอร์น เลี้ยวลดคดเคี้ยวจากยุโรป ไปถึงสำนักงานของซีไอเอในเมืองแลงลีย์ เวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของปฏิบัติการลับ ทรีดสโตน บอร์นและมารี ต้องหลบให้ พ้นจากการตาม ของเรดาร์ในฝรั่งเศสของ ทรีดสโตน ซึ่งมุ่งสะกดรอยคนทั้งสอง
----------------------------------------------
The Bourne Supremacy (2004)
แนว : แอ็คชั่น / ผจญภัย / ระทึกขวัญ
เรื่องย่อ :
สองปีที่แล้ว เจสัน บอร์น (แม็ตต์ เดม่อน) คิดว่าเขาสามารถหนีจากอดีตของเขาได้แล้ว แต่บัดนี้ อดีตของเขากำลังกลับมา.. บอร์น และ มารี (ฟรานก้า โปเทนเต้) ยังคงใช้ชีวิต ที่ต้องปิดบังสถานะจริงของพวกเขาเอาไว้ บอร์นที่ยังคงฝันร้าย และถูกหลอกหลอน
โดยภาพจากอดีต ที่เขาไม่สามารถจำได้ เขาพามารีเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อก้าวล้ำหน้าจากโอกาสที่จะโดนคุกคาม เมื่อมีคนแปลกหน้าจ้องมองพวก เขาอย่างไม่มีสาเหตุ ทุกครั้งที่ มีคนต่อโทรศัพท์เข้ามาผิด... เพราะทุกวินาที อาจหมายถึงบอร์นต้องถูกดึงตัว กลับสู่โลกที่เขาหวังจะทิ้งไว้เบื้องหลัง โดยปราศจากคำเตือน
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่หมู่บ้านอันเงียบสง บ ที่เป็นบ้านหลังล่าสุดของพวกเขา ชีวิตของบอร์นและมารีพังทลายลง และต้องหลบหนี อดีตของบอร์นมาเคาะที่ประตูบ้าน ทางเลือกเดียวของพวกเขาตอนนี้ คือการหนี แต่เมื่อมีการก้าวล้ำเส้น และเดิมพันในเกมส์แมวจับหนูระดับโลกครั้งใหม่เริ่มต้ นขึ้น เจสัน บอร์น ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทร็ดสโตน หน่วยงานลับที่ผลิตมือสังหารอาชีพเลือดเย็น ที่ ปัจจุบันกลายเป็นหน่วยงานที่ถูกล้มเลิกไปแล้วนั้น จึงคืนกลับมาอีกครั้ง สองปีก่อน บอร์นหนีพ้นจากโลกอันตรายที่เคยสร้างเขาขึ้นมา พร้อมคำสัญญาว่า จะแก้แค้นใครก็ตาม ที่พยายามเข้ามายุ่งกับเขา บัดนี้ โลกใบเดิมได้กลับมาอีกครั้ง และบอร์ นมุ่งมั่นที่จะรักษาคำสัตย์ ที่เขาเคยปฏิญาณเอาไว้พวกนั้นควรจะเลิกยุ่งกับเขาได้ แล้ว!
-----------------------------------------------------
The Bourne Ultimatum (2007)
แนว : แอ็คชั่น / ผจญภัย / ดราม่า / ลึกลับ / ระทึกขวัญ
เรื่องย่อ :
หลังจาก มารี คนรักของเขา ตายไปเพราะกระสุนนัดหนึ่งจากมือสังหาร สิ่งที่บอร์นต้องการมีเพียงการแก้แค้น เมื่อแก้แค้นได้สำเร็จ สิ่งที่เขาต้องการก็คือการหายตัว ไปตลอดกาล และลืมชีวิตที่โดนขโมยไป แต่เรื่องราวที่ปรากฏเป็นข่าวหน้าหนึ่ง ในหนังสือพิมพ์ของลอนดอนฉบับหนึ่ง ซึ่งนำเสนอการมีตัวตนอยู่ของเขา จบสิ้นความหวัง นั้นอย่างสิ้นเชิง และ
เจสัน บอร์น (แมตต์ เดม่อน) พบว่าเขาตกเป็นเป้าหมายขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้ เทรดสโตน
โครงการลับสุดยอดที่สร้างสุดยอดมือสังหารผู้นี้ขึ้นม า ได้ถูกล้มล้างไปแล้ว แต่แล้วมันถูกหยิบขึ้นมาริเริ่มใหม่ โดยเป็นโครงการที่ชื่อ แบล็คไบรเออร์ ของกระทรวงกลาโหม และได้สร้างนักฆ่าที่ผ่านการฝึกฝนรุ่นใหม่ ซึ่งถูกซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาประชาชนอเมริกัน และคนทั่วโลก สำหรับพวกเขาแล้ว บอร์นคือภัยคุกคาม ที่มีความสามารถรอบด้านที่มีค่าตัวสูงถึง $30 ล้าน และเป็นคนที่ต้องถูกกำจัด สำหรับบอร์นแล้ว พวกเขาเป็นเพียงตัวเชื่อมโยง กับชีวิตที่เขาพยายามจะลืมให้ได้ บอร์นมาถึงสุดสายปลายทาง ครั้งนี้เขาจะไม่หยุดแค่การได้คำสัญญาปากเปล่า จากอดีตหัวหน้าของเขา หรือไม่แม้กระทั่งจะฆ่าคนที่ออกตามล่าตัวเขาอย่างไม่ ยอมหยุดหย่อน เพราะไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว บอร์นจะใช้ทุกสิ่งที่เขาเคยได้รับการฝึกฝนมา และทุกสัญชาตญาณที่พวกนั้นเคยสอนเขา เพื่อตามล่าผู้สร้างเขาขึ้นมา และจัดการปิดบัญชีทั้งหมด
ความต้องการของเขาพาเขาเดินทางจากมอสโคว์, ปารีส และแมดริด ไปถึงลอนดอน และแทนเจียร์ เขาต้องหลบเลี่ยง หลอกล่อ เอาชนะพวก แบล็คไบรเออร์ เจ้าหน้าที่รัฐ และตำรวจท้องที่ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมในทุกฝีก้าวที่เดินไปบนเส้นทางนี้ เพื่อตามหาคำตอบของคำถามที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอด และการเดินทาง ของบอร์น จะนำเขาไปยังที่ซึ่งเรื่องทุกอย่างเริ่มต้น และที่ซึ่งมาถึงจุดจบ ...นั่นก็คือท้องถนนของนครนิวยอร์กซิตี้
----------------------------------------
Bourne Legacy บอร์น เลกาซี พลิกแผนล่ายอดจารชน (UIP)
กำหนดฉาย : 9 สิงหาคม 2555
แนว : Action
นำแสดง : เจเรมี เรนเนอร์, เรเชล ไวส์, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน
กำกับ : โทนี่ กิลรอย
12 ปีที่แล้ว คนดูได้รู้จักกับ เจสัน บอร์น เมื่อเขาถูกดึงขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนในสภาพหมดสติ และตลอดภาพยนตร์ 3 เรื่อง คนดูได้ติดตามการเดินทางเอาตัวรอด
ของเขาและการค้นหาตัวตนที่แท้จริง พวกเขาเฝ้าดูเหล่าซีไอเอออกตามล่าเขาไปทั่วโลก พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องโครงการเทรดสโตน และทักษะฝีมือพิเศษและความสามารถของบอร์น และในบทสรุปของภาพยนตร์ไตรภาค พวกเขาอาจรู้สึกว่าเรื่องราวนี้สมบูรณ์แบบแล้ว
The Bourne Legacy ได้เบิกม่านออกอีกครั้งเพื่อเผยให้เห็นความลึกลับที่ดำ มืดมากขึ้น และฮีโร่คนใหม่ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อจู่ๆ โครงการของเขาก็กลายเป็นภาระของทางการ
The Bourne Legacy แท้จริงแล้วก็คือเหตุการณ์ที่ติดตามมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนนี้ การที่ตัวตนของบอร์นถูกเปิดเผยในตอนจบของ The Bourne Ultimatum ได้ทำ
ให้เกิดกองไฟขนาดใหญ่ที่ส่งผลลุกลามไปถึงการค้นคว้าและพัฒนานานหลายทศวรรษที่นำไปสู่การสร้างสายลับและนักรบที่ยอดเยี่ยมขึ้น คนดูจะพบว่ายังมีโครงการสร้าง
สายลับอีกหลายโครงการ ซึ่งโครงการเทรดสโตนของซีไอเอเป็นเพียงหนึ่งในพัฒนาการระยะแรก ๆ และการกระทำของบอร์นกำลังสร้างความวิตกกังวลที่ว่าโครงการอื่น ๆ
อาจถูกเปิดเผยเช่นกัน
------------------------------------
Sampan Chanpa
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556
อภิมหากาพย์ Mad Max 1-3 นำแสดงโดย เมล กิบสัน
อภิมหากาพย์ Mad Max
Mad Max 1
Mad Max (1979)
แมดแม็กซ์
Release Date : 12 April 1979 (Australia)
Director : George Miller
Writer : James McCausland (screenplay), George Miller (screenplay)
Cast :
- Mel Gibson
- Joanne Samuel
- Hugh Keays-Byrne
- Steve Bisley
- Tim Burns
- Roger Ward
- Lisa Aldenhoven
- David Bracks
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
เรื่องย่อ :
หนังแจ้งเกิดของ Mel Gibson ในบท แม็กซ์ ร็อคเก็ทแทนสกี้ นายตำรวจผู้พยายามสร้างความสงบสุขให้กับสังคมอันเหลวแหลกของออสเตรีเลีย แต่แล้วเขากลับต้องสูญเสียลูกและภรรยาไปด้วยน้ำมือของเหล่าวายร้ายที่ทำลายทุกความสงบสุขบนดินแดนนั้น แม็กซ์ จึงต้องการตามล่าล้างแค้นแบบสุดโหด และเขาก็เปลี่ยนตัวตน เขาไม่ได้เป็นผู้รักษากฏหมายอีกต่อไป เขาได้กลายมาเป็นนักล่าเหล่าร้ายแห่งท้องถนน เขากลายมาเป็น แมดแม็กซ์
คอแอ๊คชั่นน่าจะรู้จักหนังเรื่องนี้กันประมาณหนึ่งนะครับผม เรื่องราวการต่อสู้กับวายร้ายในโลกที่ไร้ขือแปในอนาคต จะว่าไปผมว่าหนังมันสนุกสะใจดีมากเลยครับ การเดินเรื่องค่อนข้างเร็ว โทนหนังมันก็เวิ้งว้างสุดๆ เป็นโลกอนาคตที่หม่นหมองมากเลยครับ ไม่ใช่มืดทึมนะครับ มันสว่างโล่เพราะฉากส่วนมากมันก็เป็นถนนหนทางกลางทะเลทรายนั่นแหละครับ มันดูกว้างใหญ่ แต่กลับให้อารมณ์ว่าสถานที่แห่งนี้ ไม่มีความสุขสงบใดๆ
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่ไม่ต้องใช้ทุนมาก แต่ทำได้ตรงเป้าเผงเลยครับ คือในเรื่องนั่นไม่ได้มีแค่ฉากบู๊ฉากการไล่ล่าที่สะใจเท่านั้น แต่มันยังให้อารมณ์เวิ้งว้างได้สำเร็จด้วย ให้ความรู้สึกประมาณว่าหมดหวัง และสภาวการณ์ของโลกก็กลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์อีกครั้ง นั่นคือ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ และนั่นคือสิ่งที่แม็กซ์เป็นและหากลองมองดูโลกเราตอนนี้ดีๆ ไอ้การแก่งแย่ง ใช้กำลังอำนาจเอาตัวรอดมันก็มีแทรกซึมอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
หนังเรื่องนี้แจ้งเกิดให้กับ เฮีย Mel ครับ แม้การแสดงจะไมไ่ด้ถึงกับสุดยอด แต่บทนายตำรวจคลั่งแห่งโกลอนาคตรายนี้ก็เหมาะกับเขาดีมาก คือตอนแรกพี่ท่านเป็นตำรวจธรรมดาที่ดูหนุ่มแน่นและไม่แหกกฏอะไร แต่พอเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น พี่ท่านก็กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งตอนแรกนั้นบทนี้เฮีย Mel แกไม่ได้ตั้งใจจะไปแคสหรอกครับ
คืองี้วันนั้นน่ะ เพื่อนของเฮีย Mel แกอยากไปแคสบทนี้ครับ เฮียแกก็ไปเป็นเพื่อน แล้วทีนี้ทีมงานเขาเกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวเฮียเขา นั่นคือ ความดุดันและแววความบ้าคลั่งแฝงอยู่ในแววตา เพราะเผอิญคืนก่อนที่เขาจะไปที่กองถ่ายเนี่ย เขาได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ครับ แล้วทีนี้พอเช้ามาหน้าตาพี่แกก้ยังบวมปูดบูดเบี้ยวอยู่ ทีนี้พอทีมงานเห็นก็เลยสนใจ เพาะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้ มีเลือดนักสู้ใจนักเลงอยู่เหมือนกัน เลยเอ่ยปากไปว่า ไว้ซักสามอาทิตย์ไว้แผลหายแล้วลองมาแคสบทดูสิ เฮีย Mel แกก็งงล่ะครับ ถามว่าทำไม ทีมงานเลยตอบมาว่า "we need freaks!" แปลก็ประมาณว่า บทเนี้ยเราต้องการคนประเภทประหลาด มีแววบ้าๆ หน่อยผมก็ไม่แน่ใจล่ะครับว่าพอเฮียแกได้ยินอย่างนี้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ที่แน่ๆ อีกสามอาทิตย์ต่อมาเขาก็กลับมาแคสจริงๆ และบทนี้ก็เป็นของเขาไปจนได้
และผมค่อนข้างทึ่งนะครับ ที่หนังเรื่องนี้ทุนต่ำ (400,000 โดยประมาณ) ข้าวของในหนังนั่นก็พยายามให้ราคาต่ำที่สุดนะครับ อย่างเช่น มอเตอร์ไซค์ที่ตั้งในหนังน่ะ เชื่อมั้ยครับว่าบางอันมันเป็นโมเดล ไม่ใช่ของจริง หรือกระทั่งรถหลายๆ คันในแต่ละฉากนั้นน่ะ บางคันมันก็คือรถคันเดิมจากฉากก่อนๆ แต่เอามาทาสีใหม่เท่านั้นเอง อืมม์ ประหยัดสุดๆ เลยครับ แต่ทว่าคุณภาพของหนังไม่ได้ลดด้อยลงไปเลย เพราะหนังมันสั้นแค่ชั่วโมงครึ่งและการเดินเรื่องก็ฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และการไล่บ่าช่วงท้ายก็สะใจคอหนังแนวนี้แท้ๆ เลยหดหู่และมันส์ตามสไตล์หนังเก่าๆ ครับ ค่อนข้างดิบๆ ด้วย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้สนุกสะใจ ไม่น่าผิดหวังครับ
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหนังที่ไม่ต้องใช้ทุนมาก แต่ทำได้ตรงเป้าเผงเลยครับ คือในเรื่องนั่นไม่ได้มีแค่ฉากบู๊ฉากการไล่ล่าที่สะใจเท่านั้น แต่มันยังให้อารมณ์เวิ้งว้างได้สำเร็จด้วย ให้ความรู้สึกประมาณว่าหมดหวัง และสภาวการณ์ของโลกก็กลับไปสู่ยุคดึกดำบรรพ์อีกครั้ง นั่นคือ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ และนั่นคือสิ่งที่แม็กซ์เป็นและหากลองมองดูโลกเราตอนนี้ดีๆ ไอ้การแก่งแย่ง ใช้กำลังอำนาจเอาตัวรอดมันก็มีแทรกซึมอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
หนังเรื่องนี้แจ้งเกิดให้กับ เฮีย Mel ครับ แม้การแสดงจะไมไ่ด้ถึงกับสุดยอด แต่บทนายตำรวจคลั่งแห่งโกลอนาคตรายนี้ก็เหมาะกับเขาดีมาก คือตอนแรกพี่ท่านเป็นตำรวจธรรมดาที่ดูหนุ่มแน่นและไม่แหกกฏอะไร แต่พอเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น พี่ท่านก็กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งตอนแรกนั้นบทนี้เฮีย Mel แกไม่ได้ตั้งใจจะไปแคสหรอกครับ
คืองี้วันนั้นน่ะ เพื่อนของเฮีย Mel แกอยากไปแคสบทนี้ครับ เฮียแกก็ไปเป็นเพื่อน แล้วทีนี้ทีมงานเขาเกิดเห็นอะไรบางอย่างในตัวเฮียเขา นั่นคือ ความดุดันและแววความบ้าคลั่งแฝงอยู่ในแววตา เพราะเผอิญคืนก่อนที่เขาจะไปที่กองถ่ายเนี่ย เขาได้ไปมีเรื่องกับอันธพาลในบาร์ครับ แล้วทีนี้พอเช้ามาหน้าตาพี่แกก้ยังบวมปูดบูดเบี้ยวอยู่ ทีนี้พอทีมงานเห็นก็เลยสนใจ เพาะคิดว่าเด็กหนุ่มหน้าอ่อนคนนี้ มีเลือดนักสู้ใจนักเลงอยู่เหมือนกัน เลยเอ่ยปากไปว่า ไว้ซักสามอาทิตย์ไว้แผลหายแล้วลองมาแคสบทดูสิ เฮีย Mel แกก็งงล่ะครับ ถามว่าทำไม ทีมงานเลยตอบมาว่า "we need freaks!" แปลก็ประมาณว่า บทเนี้ยเราต้องการคนประเภทประหลาด มีแววบ้าๆ หน่อยผมก็ไม่แน่ใจล่ะครับว่าพอเฮียแกได้ยินอย่างนี้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ที่แน่ๆ อีกสามอาทิตย์ต่อมาเขาก็กลับมาแคสจริงๆ และบทนี้ก็เป็นของเขาไปจนได้
และผมค่อนข้างทึ่งนะครับ ที่หนังเรื่องนี้ทุนต่ำ (400,000 โดยประมาณ) ข้าวของในหนังนั่นก็พยายามให้ราคาต่ำที่สุดนะครับ อย่างเช่น มอเตอร์ไซค์ที่ตั้งในหนังน่ะ เชื่อมั้ยครับว่าบางอันมันเป็นโมเดล ไม่ใช่ของจริง หรือกระทั่งรถหลายๆ คันในแต่ละฉากนั้นน่ะ บางคันมันก็คือรถคันเดิมจากฉากก่อนๆ แต่เอามาทาสีใหม่เท่านั้นเอง อืมม์ ประหยัดสุดๆ เลยครับ แต่ทว่าคุณภาพของหนังไม่ได้ลดด้อยลงไปเลย เพราะหนังมันสั้นแค่ชั่วโมงครึ่งและการเดินเรื่องก็ฉับไวไม่เยิ่นเย้อ และการไล่บ่าช่วงท้ายก็สะใจคอหนังแนวนี้แท้ๆ เลยหดหู่และมันส์ตามสไตล์หนังเก่าๆ ครับ ค่อนข้างดิบๆ ด้วย เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้สนุกสะใจ ไม่น่าผิดหวังครับ
อภิมหากาพย์ Mad Max 2
The Road Warrior (1981)
Mad Max 2:The Road Warrior (1981)
แมดแม็กซ์ 2
Release Date : 21 May 1981 (USA)
Director : George Miller
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Michael Preston
- Max Phipps
- Vernon Wells
- Kjell Nilsson
- Emil Minty
- Virginia Hey
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
แมดแม็กซ์ 2
Release Date : 21 May 1981 (USA)
Director : George Miller
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Michael Preston
- Max Phipps
- Vernon Wells
- Kjell Nilsson
- Emil Minty
- Virginia Hey
Genres : Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
เรื่องย่อ :
ภาคต่อของแมดแม็กซ์ ครั้งนี้ เขาต้องผจญภัยในโลกที่อนาคตที่ไร้อารยธรรมตามลำพัง และเขาก็ได้เจอกับลอร์ด ฮิวมันกัส (Kjell Nilsson) วายร้ายคนใหม่ ที่หวังจะครอบครองอาณาจักรแห่งเชื้อเพลิง ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นที่อยู่ของผู้นที่รักสันดิ งานนี้แม็กซ์เลยกลับมาแมดอีกครั้ง เพื่อพิทักษ์ความสงบสุขหนังภาคนี้ทำได้ดีและมันส์ยิ่งกว่าภาคแรกครับ ฉากการตีกันก็ทำได้ที่ดีมาก ยิ่งช่วงท้ายนี่ก็เต็มสูบกันไปล่ะครับ กับการไล่ล่ากันด้วยรถ ซึ่งบอกได้ว่าน่าจะถูกใจคอแอ๊คชั่นเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพวกที่ชอบความเร็วและแรงน่ะนะครับ
ภาคนี้ลงทุนมากขึ้น ซึ่งก็สมควรล่ะครับ เอาแค่ฉากอาณาจักรแห่งเชื้อเพลิงนั่นก็ต้องลงทุนเยอะอยู่แล้ว แต่ผลที่ได้ออกมานั้นผมถือว่าคุ้มเลยนะฮะ เพราะความมันส์มันเพิ่มขึ้น ตัวละครก็หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ Bruce Spence ที่มารับบทเป็นคนขับคอปเตอร์จิ๋วที่เป็นตัวเพิ่มอารมณ์ขันให้กับหนังได้พอสมควรเลยครับ
อันนี้ผมคงไม่ขอว่าอะไรยาวล่ะนะครับ เพราะหนังมันสนุกเอามันส์ล้วนๆ อารมณ์ก็ดิบๆ แม้จะไม่มากเท่าภาคแรก แต่ก็ยังถือว่าดิบอยู่ครับ ไม่ควรพลาดน่ะ
Mad Max Beyond Thunderdome (1985)
Mad Max Beyond Thunderdome (1985)
แมดแม็กซ์ 3 ตอน โดมบันลือโลก
Release Date : 10 July 1985 (USA)
Director : George Miller, George Ogilvie
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Adam Cockburn
- Tina Turner
- Frank Thring
- Angelo Rossitto
- Paul Larsson
- Angry Anderson
Genres : Action | Sci-Fi | Adventure
Director : George Miller, George Ogilvie
Writer : Terry Hayes, George Miller
Cast :
- Mel Gibson
- Bruce Spence
- Adam Cockburn
- Tina Turner
- Frank Thring
- Angelo Rossitto
- Paul Larsson
- Angry Anderson
Genres : Action | Sci-Fi | Adventure
เรื่องย่อ :
ภาคปิดท้ายไตรภาค ครั้งนี้แมดแม็กซ์ (Mel Gibson) ต้องไปเผชิญกับอานตี้ แอนติตี้ (Tina Turner) ผู้ครองอาณาจักรกลางทะเลทรายผู้ชั่วร้าย
หนังภาคนี้ผมรู้สึกว่าอ่อนลงกว่าตอนที่แล้วๆ มากครับ ฉากแอ๊คชั่นก็พอมี แต่การเดินเรื่องไม่จับใจเท่าภาคก่อนๆ อีกแล้ว บางช่วงก็อืดจนเกินงาม ความเร้าใจก็ไม่ค่อยมี ซึ่งแม้ฉากแอ๊คชั่นจะเข้าท่า แต่หนังกลับพยายามเพิ่มเนื้อหาเข้ามาทำให้ความอืดมันเพิ่มปริมาณมากจนเกินไป และในภาคนี้ก็มีผู้กำกับ 2 คนด้วยกันครับ รายแรกก็คือ George Miller ผู้รับหน้าที่กำกับหนัง 2 ภาคแรกมาก่อน ซึ่งพี่เขารับหน้าที่เกี่ยวกับฉากแอ๊คชั่นซึ่งผลก็ยังน่าพอใจครับ ส่วนผู้กำกับอีกรายก็คือ George Ogilvie ซึ่งมารับหน้าที่กำกับในส่วนที่เป็นเนื้อหาและฉากเกี่ยวกับดราม่านะฮะ ซึ่งต้องขอบอกว่าไอ้ที่อืดก็เพราะตรงนี้นี่แหละครับ
ภาคก่อนมันกระหน่ำแอ๊คชั่นและฉากจินตนาการ ซึ่งแม้ในภาคนี้สิ่งเหล่านั้นมันจะพอมี แต่มันก็โดนเนื้อหาเชิงดราม่ามาแย่งความสนุกลงไป จริงๆ ผมว่าฉากแนวแสดงอารมณ์ตัวละครนั้นมันก็เป็นอะไรที่ดีนะครับ แต่เผอิญกับหนังอย่าง Mad Max เนี่ย มันเน้นที่ความมันส์ครับ ส่วนไอ้เรื่องดราม่านั่นมันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อยน่ะ และยิ่งกว่านั้นคือมันทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่ด้วย ความน่าเบื่อมันเลยค่อยๆ ซึมเข้ามาแทน
หนังบางเรื่องสนุกน้อยลงเพราะไม่มีเนื้อหา แต่กับบางเรื่อง เพราะพยายามใส่เนื้อหาลงมามากเกินไปนี่แหละที่ทำให้ความพอดีที่พึงมีจางหายไปอย่างน่าเสียดาย
คิดง่ายๆ เหมือนเราทำอาหารน่ะครับ อะไรที่หวานไปหรือเปรี้ยวไปก็ย่อมทำให้รสชาติกร่อยได้ หรือกับอาหารบางจำพวก เช่นเค้กที่มันควรจะหอมหวาน แต่หากไปเพิ่มรสเค็มล่ะ มันก็แหม่งๆ น่ะสิครับ และกับเรื่องนี้ มันออกจะเพิ่มรสที่ไม่จำเป็นเข้ามามากไปหน่อยน่ะครับ
ก็เป็นการสรุปไตรภาคได้ไม่ถึงใจนัก แต่ก็พอทำเนาครับ
ภาคปิดท้ายไตรภาค ครั้งนี้แมดแม็กซ์ (Mel Gibson) ต้องไปเผชิญกับอานตี้ แอนติตี้ (Tina Turner) ผู้ครองอาณาจักรกลางทะเลทรายผู้ชั่วร้าย
หนังภาคนี้ผมรู้สึกว่าอ่อนลงกว่าตอนที่แล้วๆ มากครับ ฉากแอ๊คชั่นก็พอมี แต่การเดินเรื่องไม่จับใจเท่าภาคก่อนๆ อีกแล้ว บางช่วงก็อืดจนเกินงาม ความเร้าใจก็ไม่ค่อยมี ซึ่งแม้ฉากแอ๊คชั่นจะเข้าท่า แต่หนังกลับพยายามเพิ่มเนื้อหาเข้ามาทำให้ความอืดมันเพิ่มปริมาณมากจนเกินไป และในภาคนี้ก็มีผู้กำกับ 2 คนด้วยกันครับ รายแรกก็คือ George Miller ผู้รับหน้าที่กำกับหนัง 2 ภาคแรกมาก่อน ซึ่งพี่เขารับหน้าที่เกี่ยวกับฉากแอ๊คชั่นซึ่งผลก็ยังน่าพอใจครับ ส่วนผู้กำกับอีกรายก็คือ George Ogilvie ซึ่งมารับหน้าที่กำกับในส่วนที่เป็นเนื้อหาและฉากเกี่ยวกับดราม่านะฮะ ซึ่งต้องขอบอกว่าไอ้ที่อืดก็เพราะตรงนี้นี่แหละครับ
ภาคก่อนมันกระหน่ำแอ๊คชั่นและฉากจินตนาการ ซึ่งแม้ในภาคนี้สิ่งเหล่านั้นมันจะพอมี แต่มันก็โดนเนื้อหาเชิงดราม่ามาแย่งความสนุกลงไป จริงๆ ผมว่าฉากแนวแสดงอารมณ์ตัวละครนั้นมันก็เป็นอะไรที่ดีนะครับ แต่เผอิญกับหนังอย่าง Mad Max เนี่ย มันเน้นที่ความมันส์ครับ ส่วนไอ้เรื่องดราม่านั่นมันออกจะเกินความจำเป็นไปหน่อยน่ะ และยิ่งกว่านั้นคือมันทำได้ไม่ถึงเท่าไหร่ด้วย ความน่าเบื่อมันเลยค่อยๆ ซึมเข้ามาแทน
หนังบางเรื่องสนุกน้อยลงเพราะไม่มีเนื้อหา แต่กับบางเรื่อง เพราะพยายามใส่เนื้อหาลงมามากเกินไปนี่แหละที่ทำให้ความพอดีที่พึงมีจางหายไปอย่างน่าเสียดาย
คิดง่ายๆ เหมือนเราทำอาหารน่ะครับ อะไรที่หวานไปหรือเปรี้ยวไปก็ย่อมทำให้รสชาติกร่อยได้ หรือกับอาหารบางจำพวก เช่นเค้กที่มันควรจะหอมหวาน แต่หากไปเพิ่มรสเค็มล่ะ มันก็แหม่งๆ น่ะสิครับ และกับเรื่องนี้ มันออกจะเพิ่มรสที่ไม่จำเป็นเข้ามามากไปหน่อยน่ะครับ
ก็เป็นการสรุปไตรภาคได้ไม่ถึงใจนัก แต่ก็พอทำเนาครับ
________________________
Sampan Chanpa
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556
TITANIC
TITANIC
เรือไททานิก
กับตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ
หนังสือพิมพ์ลงข่าวการล่มของไททานิกอาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) หรือ เอสเอส ไททานิก (SS Titanic) คือชื่อเรือเดินสมุทรของบริษัทไวท์ สตาร์ ไลน์ (White Star Line) เริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1909 สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1911 ที่เบลฟาสท์ ไอร์แลนด์ (Belfast Ireland) พร้อมๆ กับเรือคู่แฝดที่ชื่อว่า อาร์เอ็มเอส โอลิมพิก (RMS Olympic) ซึ่งเบากว่า
ไททานิกถึง 1000 ตัน
ลักษณะเฉพาะของเรือ
ไททานิกเป็นเรือที่เปิดศักราชใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเรือเดินสมุทร เนื่องจากเป็นเรือลำแรกๆ ของโลกที่สร้างโดยโลหะและรองรับผู้โดยสารได้ถึง 2433 คน ยาว 269.0622 เมตร กว้าง 28.194 เมตร หนัก 46328 ตันอิมพีเรียล(47071434.4681 กิโลกรัม) แบ่งเป็น 9 ชั้น เรียงจากชั้นบนลงชั้นล่างได้ดังนี้
9.ดาดฟ้า สงวนไว้ให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่ง มีปล่องไฟ 4 ตัว สูงตัวละ 19 เมตร
8.ชั้นA ห้องนั่งเล่นของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
7.ชั้นB ห้องอาหารของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
6.ชั้นC ห้องสมุดของผู้โดยสารชั้นสอง ห้องเอนกประสงค์ของผู้โดยสารชั้นสาม
5.ชั้นD ห้องอาหารของผู้โดยสารชั้นสอง
4.ชั้นE ห้องนอนของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง สอง สาม ลูกเรือ
3.ชั้นF ห้องอาหารของผู้โดยสารชั้นสาม ห้องออกกำลังกายส่วนรวม
2.ชั้นG สระว่ายน้ำส่วนรวม ห้องเก็บกระเป๋าเดินทาง
1.ชั้นห้องเครื่องมี 16 ห้อง หม้อน้ำรวม 29 ชุด ส่งเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ 3 ตัว เครื่องยนต์ 3 ตัว หมุนใบจักร 3 ใบ รวม 50000 แรงม้า เร่งความเร็วเรือได้สูงสุด 24 น็อต(44.448 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ห้องเครื่องทั้ง 16 ห้องมีกำแพงสูงถึงชั้น F และมีประตูกลซึ่งจะปิดลงมาทุกบานทั่วลำเรือเมื่อพบเหตุผิดปกติที่ห้อง เครื่องใดห้องเครื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าหากไม่เกิดรอยรั่วในหลายห้องเครื่องจนเกินไป ตามหลักการลอยตัวแล้ว เรือจะไม่จม ถึงแม้จะเป็นจุดอ่อนที่สุดของเรือซึ่งก็คือหัวเรือ ก็ยังรับรอยแตกได้ถึง 4 ห้องเครื่องติดกันโดยไม่จม
TITANIC
แต่ว่าเรือสำรองช่วยชีวิตหรือเรือบดนั้นเพียงพอสำหรับผู้โดยสารเพียง 1178 คนเท่านั้น
การเดินทางครั้งแรก เริ่มการเดินทางที่ เซาแธมทัน อิงแลนด์ (Southampton England) ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 ควบคุมโดยกัปตัน เอ็ดเวิร์ด เจ. สมิธ (Edward J. Smith) เพื่อเดินทางไปยังนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในการเดินทางครั้งนั้น มีผู้เดินทางรวมทั้งหมด 2217 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารชั้น 1 ผู้โดยสารชั้น 2 ผู้โดยสารชั้น 3 และลูกเรือ
วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1912 ขณะเดินทางอยู่ทางใต้ของแกรนด์แบงค์ ของนิวฟันด์แลนด์ เวลา 23.39 น. เวรยามที่เสากระโดงแจ้งว่าได้พบภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ข้างหน้าเรือ ลูกเรือจึงได้เลี้ยวลำเรือเพื่อหลบเลี่ยง แต่เนื่องจากใบจักรและหางเสือที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของเรือ ทำให้ผู้บังคับเรือซึ่งยังไม่ชินกับการบังคับเรือใหญ่ขนาดนี้ทำให้กะขนาดการ เลี้ยวผิด และชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง ที่ 41 องศา 46 ลิปดาเหนือ 50 องศา 14 ลิปดาตะวันตก เมื่อ23.40 น.
เรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางกราบขวาหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่อึดเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว แต่หัวเรือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเรือที่สามารถรับรอยแตกต่อเนื่องจากหัวเรือ ได้เพียง 4 ห้อง วิศวกรผู้สร้างเรือบอกว่า น้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท่วมมิดชั้นF เริ่มไหลขึ้นชั้นE น้ำจึงเข้าท่วมห้องเครื่องที่ 6 และท่วมไปทีละห้องๆ และจมในที่สุด ลูกเรือก็คิดว่าเรือคงจะจมเร็วมาก จึงปล่อยเรือบดออกทั้งๆที่ยังใส่คนไม่เต็มลำ
เวลา 02.20 น. ของวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือทั้งลำจมลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ผู้โดยสารและลูกเรือ 2217 ชีวิต รอดชีวิตเพียง 704 ชีวิต เสียชีวิตทั้งหมด 1513 ราย
เวลาประมาณ 04.20 น. เรือโดยสารขนาดใหญ่ชื่อ "อาร์เอ็มเอส คาร์พาเธีย" (RMS Carpathia) ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือบดทั้งหมด และพาสู่นิวยอร์ก ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1912 จากนั้น ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1985 ซากเรือไททานิคได้ถูกค้นพบอีกครั้ง
สาเหตุการสร้างเรือไททานิค
วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 สายการเดินเรือ ไวต์ สตาร์ ได้ปล่อยเรือ Adriatic เป็นเรือลำสุดท้ายของโครงการต่อเรือลำใหญ่ 4 ลำ ที่ถูกดำเนินการต่อเรือทั้งหมดที่อู่ต่อเรือ Harland & Wolff of Belfast
เรือทั้งสี่มีขนาดกว่า 20000 ตัน เน้นการออกแบบภายในเรือที่สะดวกสบาย โดยเรือลำแรกของ
โครงการดังกล่าว คือเรือ Celtic ปล่อยลงน้ำครั้งแรกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1901 ตามมาด้วยเรือ Dedric ที่มีขนาดใหญ่กว่า และตามด้วยเรือ Baltic ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น 23884 ตัน
สายการเดินเรือไวต์สตาร์นั้น เชื่อเสมอว่าคนทั่วไปสามารถโดยสารกับเรือได้นาน ถ้าเรือนั้นมี ความเพรียบพร้อมในการบริการที่ดีเยี่ยม สะดวกสบายราวกันอยู่บ้าน และความเร็วเรือที่ได้ต้องใช้เชื้อเพลิงซึ่งเป็นถ่านหินจำนวนมาก ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม (ไวต์สตาร์เป็นพวกนักอนุรักษ์) ดังนั้นเรือทั้งสี่ลำนี้จึงมีความเร็วบริการประมาณ 16.5 น็อต(30.558 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งความเร็วระดับนี้น้อยเกินกว่าจะสู้เรือของสายการเรืออื่น ๆ ได้
สายการเดินเรือคูนาร์ด ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญได้มีเรือลำยักษ์ 2 ลำ คือเรือ Lustania ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ John Brown และออกบริการในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1907 และเรือ Mauretania ที่ต่อขึ้นในอู่ต่อเรือ Tyneside ในออกบริการในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน หรือหนึ่งปีถัดมาของการปล่อยเรือ Adriatic ลงน้ำ ทั้งคู่มีขนาดกว่า 30000 ตัน แล่นด้วยความบริการ 23.99 นอต(44.42948 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) มากกว่าเรือ Adriatic ประมาณ 7 นอต(12.964 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เป็นเรือแฝดรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้ากว่าเรือ 4 ลำของไวต์สตาร์ ทำให้เรือสายการเดินเรือไวต์ถูกแย่งตำแหน่งเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไปครอง และยังรับตำแหน่งเรือเดินสมุทรที่เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย ทำให้ไวต์สตาร์ หาหนทางในการ แย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดให้ได้มากที่สุด
ในปีที่เรือแฝดคูนาร์ดออกบริการนั่นเอง บุคคลสำคัญของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ได้ร่วมจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้าน downshire Belgrave Square ในกรุงลอนดอน เพื่อร่วมกันคิดรูปแบบเรือลำที่ดีกว่าเรือแฝดคู่นั้น และนั่นก็เป็นสาเหตุในการต่อเรือไททานิก
โครงการต่อเรือของไวต์สตาร์เป็นการต่อเรือขนาดใหญ่ 3 ใบเถา เน้นรูปแบบการบริการของสายการเดินเรือที่หรูหราเป็นหลักความเร็วเป็นรอง เรือลำแรกชื่อ Olympic (อันที่จริงจะตั้งเป็นลำสุดท้ายแต่เปลี่ยนเป็นลำแรก) ลำที่ 2 Titanic และสุดท้าย Gigantic(หลังโศกนาฏกรรมไททานิกได้เปลี่ยนชื่อเป็น Britannic แทน คงเป็นเพราะกลัวเรื่องชื่อที่มีความหมายคล้ายและออกเสียงคล้าย Titanic)
ในการออกแบบขั้นต้นเรือทั้ง 3 ลำมีโครงสร้างออกแบบคล้ายคลึง (แบบเดียวกัน) จะต้องมีขนาดใหญ่กว่าเรือแฝดของคูนาร์ด ขับเคลื่อนด้วย 2 ใบจักร 2 เครื่องยนต์กระบอกสูบ แต่ต่อมาเพิ่มเครื่องยนต์เทอร์ไบน์อีกกลายเป็น 3 ใบจักร เนื่องจากเรือรุ่น 4 ลำก่อนมีเพียง 2 เครื่องยนต์สามารถทำความเร็วได้แค่ 16.5 นอตเท่านั้น ในขนาดที่เรือคู่แข่งมี 4 เครื่องยนต์ ให้เรือทั้งสามมีเสากระโดงเรือ 2 หรือ 3 แห่ง ปล่องไฟ 3 ปล่อง แต่ต่อมาเพิ่มเป็น 4 ให้เท่ากับจำนวนปล่องบนเรือ Mauretania และ Lusitania เพิ่มให้เรือดูสมดุล (หลอกว่ามีกำลังขับเคลื่อนสูง) และไว้ใช้ระบายอากาศภายในเรือ
____________________________
Sampan Chanpa
Billy Elliot ฝ่ากำแพงฝันให้ลั่นโลก
Billy Elliot
"ฝ่ากำแพงฝันให้ลั่นโลก"
Billy Elliot
บิลลี่ อีเลียต ฝ่ากำแพงฝันให้ลั่นโลก
Official website
more info. from IMDB
แนว : ดราม่า
ความยาว : 110 นาที
เข้าฉาย : 2 มีนาคม 2544
สำหรับลูกของคนงานเหมืองแร่ ซึ่งเติบโตทางตอนเหนือของอังกฤษ ระหว่างการนัดหยุดงานในช่วงปี 1984 ชีวิตในช่วงนั้นโหดร้าย แต่สำหรับเด็กอายุสิบเอ็ดอย่างบิลลี่แล้ว โอกาสที่พบปะครั้งเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้เลยทีเดียว..
เมื่อเด็กชาย บิลลี่ (เจมี่ เบลล์) อายุ 11 ปี บังเอิญไปเจอกับชั้นเรียนบัลเล่ต์ท้องถิ่น ซึ่งมาใช้หอประชุมหมู่บ้านร่วมกันกับชมรมชกมวยของเขา ท่าทางเคลื่อนไหวของการเต้นรำนั้น ราวกับมีมนต์สะกดจินตนาการของเขา และต่อมาไม่นาน เขาก็ทิ้งนวม แล้วแอบดอดเข้าไปหลังชั้นเรียนของ คุณนายวิลคินสัน (จูลี่ วอลเตอร์ส) คุณนายวิลคินสันชื่นชอบคนที่มีความสามารถอย่างบิลลี่ ความกระตือรือร้นของเธอในการสอนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อเธอเห็นความสามารถของบิลลี่ เธอจึงละทิ้งนักเรียนบัลเล่ต์คนอื่นๆ และพาตัวเองสอนศิษย์ใหม่ของเธอ
ในขณะเดียวกัน พ่อของบิลลี่ (แกรี่ ลูวิส) และพี่ชาย โทนี่ (เจมี่ ดราเว่น) ระเบิดอารมณ์ด้วยโทสะ เมื่อพบว่าบิลลี่ใช้เงินค่าเรียนชกมวย ไปกับวิชาที่ไม่เหมาะสำหรับลูกผู้ชาย เมื่อบิลลี่ถูกสั่งห้ามเต้นบัลเล่ต์ อีกทั้งหงุดหงิดกับอาการหลงๆ ของ คุณยาย (จีน เฮย์วู้ด) และเพิ่งสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักไปได้ไม่นาน ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับ ไมเคิล (สจ๊วร์ท เวลล์ส) เพื่อนที่โรงเรียนก็ลึกซึ้งขึ้นจนสนิทสนม ในขณะเดียวกัน เพื่อนใหม่ เด็บบี้ (นิโคล่า แบล็คเวลล์) ลูกสาวของคุณนายวิลคินสัน ทำให้บิลลี่รู้สึกกลัวแต่ก็ไม่เลวร้ายนัก
ในที่สุด คุณนายวิลคินสันก็ชักชวนให้บิลลี่มาเรียนส่วนตัว โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เธอบอกเขาว่า เธอต้องการให้เขาเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าเรียน ในโรงเรียนบัลเล่ต์ Royal Ballet School ทั้งเธอและเขาต่างก็คาดหวังมาก กับการคัดเลือกครั้งนี้ แต่แล้วเมื่อวันคัดเลือกตัวมาถึง การณ์กลับบังคับให้บิลลี่ต้องพลาด เพราะโทนี่ไปมีเรื่องกับตำรวจ คุณนายวิลคินสันจึงเข้าจัดการเรื่องราวด้วยตัวเอง เธอไปหาพ่อของบิลลี่ เพื่ออธิบายถึงโอกาสพิเศษ ที่ลูกชายของเขาต้องเสียไป แต่กลับถูกโทนี่ที่กำลังโกรธแค้น โยนออกมานอกบ้าน ซึ่งทำบิลลี่ขายหน้ามาก
เมื่อคนในครอบครัวไม่เข้าใจ บิลลี่ปลดปล่อยความรู้สึก ด้วยการเต้นรำ ซึ่งให้ไมเคิลดูเท่านั้น แต่กลับอยู่ในสายตาของพ่อตลอดมา พรสวรรค์อันทรงพลัง และมีชีวิตชีวาของบิลลี่ ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจแน่วแน่ ที่จะให้โอกาสบิลลี่อีกครั้ง ในการคัดเลือกตัวที่ลอนดอน ด้วยการสนับสนุนของคนงานเหมืองแร่คนอื่นๆ ในที่สุดบิลลี่กับพ่อ ก็สามารถไปถึงลอนดอน เพื่อการคัดตัวที่ถึงพริกถึงขิง และกลับบ้านรอคอยคำตอบจากโรงเรียนบัลเล่ต์ด้วยความกังวล...
--------------------------------------------------------------------------------
ยูไอพี ทำเนียบหนังดี เสนอ Billy Elliot ภาพยนตร์จาก เวอร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์ และ บีบีซีฟิล์มส์ ร่วมกับ สภาศิลปะแห่งอังกฤษ เสนองานอำนวยการสร้างของ ไทเกอร์ แอสเป็ค พิคเจอร์ส ร่วมกันกับ WT2 นำแสดงโดย จูลี่ วอลเตอร์ส, แกรี่ ลูวิส, เจมี่ เบลล์ และ เจมี่ ดัลดรีย์ อำนวยการสร้างโดย เกร็ก เบรนแมน และ จอน ฟินน์ และเขียนบทโดย ลี ฮอลล์ ผู้อำนวยการสร้างบริหารได้แก่ นาทาชา วาร์ตัน, ชาร์ลส์ แบรนด์, เทสซ่า รอสส์ และ เดวิด เอ็ม ธอมพ์สัน ยูนิเวอร์แซลพิคเจอร์ส เป็นผู้นำออกฉายทั่วโลก
Billy Elliot เป็นเรื่องราวของเด็กชายบิลลี่ ทีรักการเต้นรำมาก ทำให้เขาต้องก้าวสู่การเดินทางค้นหาตัวเอง ในโลกที่มีแต่กลุ่มผู้ชุมนุมคนงานเหมือง ที่นัดหยุดงาน การประท้วง สถานการณ์ครอบครัววิกฤต
Billy Elliot กำกับโดยผู้กำกับชาวอังกฤษ สตีเฟ่น ดัลดรีย์, กำกับภาพโดย ไบรอัน ทูฟาโน (Trainspotting, Shallow Grave, East is East, A Life Less Ordinary), โปรดักชั่นดีไซน์โดย มาเรีย ดจูโควิค (Sliding Doors), ออกแบบท่าเต้น (หรือตำแหน่งที่เรียกว่า Choeographer) โดย ปีเตอร์ ดาร์ลิ่ง (Richard III, Howards End), แต่งหน้าและออกแบบผมโดย อีวานา พริโมรัค (Elizabeth), ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย สตูวาร์ท มีเชม, ตัดต่อโดย จอห์น วิลสัน (The Cook, The Thief, His Wife and Her Lover)
Billy Elliot ได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์ 3 สาขา ได้แก่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม (สตีเฟ่น ดัลดรีย์), ดาราสมทบหญิง (จูลี่ วอลเตอร์ส) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทเขียนขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างภาพยนตร์โดยเฉพาะ
สำหรับ เวอร์คกิ้ง ไทเทิล ฟิล์มส์ (Working Title Films) เป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ชั้นนำของอังกฤษ โดยมี ทิม บีแวน และ เอริค เฟลล์เนอร์ ประธานร่วมของบริษัท เคยมีผลงานภาพยนตร์มามากกว่า 40 เรื่อง ได้แก่ภาพยนตร์อังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งเรื่อง Notting Hill, Elizabeth ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, Four Weddings and a Funeral, Dead Man Walking ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ และ Fargo ของพี่น้องโคเอน และ ภาพยนตร์ตลกซึ่งเป็นที่นิยมไปทั่วโลกอย่าง Bean: The Ultimate Disaster Movie นอกจากนี้ยังมี The Big Lebowski, French Kiss, The Borrowers ส่วนงานที่กำลังจะเข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ Bridget Jones' Diary นำแสดงโดย เรนี เซลล์เวเจอร์, ฮิวจ์ แกนท์ และ โคลิน เฟิร์ธ และ Captain Corelli's Mandolin กำกับโดย จอห์น แม็ดเดน และนำแสดงโดย นิโคลาส เคจ และ พีเนโลพ ครูซ เรื่องล่าสุดที่บริษัทร่วมมือกับพี่น้องโคเอน คือ O Brother, Where Art Thou? เป็นภาพยนตร์ที่เข้าประกวด ในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ ทั้ง 3 เรื่องมีกำหนดฉายเร็วๆ นี้
_________________________
Sampan Chanpa
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)