วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องของเงินบำนาญ

 
                                          จากส่วนลึกของอีกหลายคน       

                                                   
                                                                ธรรมชาติ

      ผมรับบำนาญสองหมื่นสามพันบาทหักค่าภาษีหักค่า ช.พ.ค. และ ช.พ.ส.  เหลือเงินประมาณ สองหมื่นหนึ่งพันบาท ไม่มีหนี้สิน ภรรยาจ่ายเป็นเงินกองกลางอีกสามพันบาทรวมเงินเดือน ก็สองหมื่นสี่พันบาท แต่รายจ่ายในบ้านผมจ่ายคนเดียว ภรรยาไม่มายุ่งเกี่ยวกับเงินเดือนผมแต่แอบเช็ครายจ่ายผม ความจริงผมไม่เคยปกปิด รายจ่ายหลัก ๆ ของผม มีดังนี้ครับ 
    ผมส่งให้บิดาซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ๕,๐๐๐ บาท ค่าน้ำ,ค่าไฟ,ค่าเนต,ค่าโทรศัพท์ ๓,๐๐๐  ค่าน้ำมันรถยนต์+มอเตอไซค์ ๒,๐๐๐ บาท นอกนั้นเรื่องอาหารการกินรวมอยู่ที่ผมคนเดียวตกวันละ ๔๐๐บาทโดยเฉลี่ย ๓๐วัน เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐บาท รวมรายจ่ายหลัก ทั้งหมด ๒๒,๐๐๐ รายรับ ๒๔,๐๐๐ เหลือ ๒,๐๐๐ ยังไม่คิดภาษีสังคมนะครับหมดพอดี 
   
                                               
                                                                  เงินเก่า
     แต่เงินเดือนภรรยาของผมฝากสหกรณ์ และ ธนาคารหมด ผมก็ไม่เคยสนใจ มีเงินทำศพตัวเองก็พอแล้ว ในแต่ละเดือนเราสองคนก็ไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนบ่อยนักนาน ๆ จะไปสักครั้ง เพราะภรรยาของผมเป็นคนเสียดายเงิน ภรรยาเคยบอกกับผมว่าเงินก้อนนี้ถ้าฉันเป็นอะไรไป เธอก็เอาไปแบ่งกับลูก ความจริงผมไม่ได้ดีใจไปกับคำพูดของเธอนักหรอก ผมเพียงแต่คิดว่า ถ้าผมเกิดมาตายก่อนภรรยา แล้วภรรยาจะทำกับเงินของเธออย่างไร อันนี้ผมไม่ได้แช่งตัวเอง แล้วลูกเกิดมาจากเราไปอีก เหลือภรรยาเพียงลำพัง ผมไม่รู้นะ พี่น้องของเขาเกิดจากไปอีก ยุ่งละ ตัดสินใจยากว่าจะยกให้ใคร
                                     
                                                                   มนุษย์
  เพราะความตายไม่มีก่อนหรือหลัง ไม่แน่นอนว่างั้นเถอะ  ผมเคยบอกภรรยาว่าฝากเงินเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่าฝากจนหมด เงินของเราไปให้ธนาคารหรือสหกรณ์ รวมทั้งผู้กู้มีควาสุขกันทั่วหน้าแต่เราผู้ซึ่งประหยัดใช้ในแต่ละเดือนกลับต้องมานั่งมองดูตัวเลขในบัญชีซึ่งกินก็ไม่ได้ ใช้ก็ไม่ได้ (ความจริงใช้ได้ แต่เรามาอายัดเงินตัวเอง ผมว่ายิ่งกว่าพวกผ่อนรถผ่อนบ้านอีก พวกนี้พอผ่อนรถผ่อนบ้านเสร็จก็ ได้เป็นเจ้าของ แต่คนฝากเงิน เป็นเจ้าของเงินแต่ไม่ได้ใช้เงินก็เหมื่อนเอาเงินของเรา (ความจริงสมมุติว่าเป็นของเรา) มาเก็บรักษาไว้เท่านั้นเอง ไม่มีโอกาสได้ใช้ไปจนถึงวันตาย
                                           
                                                                     เงิน
   แต่เขาก็มีเหตุผลส่วนตัวของเขาเหมื่อนกัน เขาบอกว่าฝากเงินมันเป็นการออมไว้ใช้วันหน้า (วันหน้าหรือชาติหน้าผมไม่แน่ใจ) ความจริงถ้าผมอยู่คนเดียวผมก็พอมีเงินเก็บบ้างเหมื่อนกัน แต่ก็คงไม่มากนักพอดี ๆ แต่ที่ผมไม่มีเงินเหลือเก็บก็ดังที่ผมชี้แจงไว้ข้างบนนั่นแหละครับ  เรื่องการกินสำคัญที่สุดเราอายุมากแล้วต้องระวังเรื่องการกินหน่อย ข้าวของเครื่องใช้ก็ขึ้นราคากันทั่วหน้า เงินเดือนหมื่นห้าตามที่รัฐบาลตั้งไว้ไม่พอใช้หรอกครับ ผมถามว่า เงินหนึ่งร้อยซื่ออะไรได้บ้าง ได้เงินมาให้สหกรณ์ ให้ธนาคาร เอาไปใช้แทนเรา

  เราได้แต่นั่งมองเงินของเราไปเข้ากระเป๋าคนอื่น แล้วเขาก็พิมพ์ตัวเลข เจ็ดแปดหลักลงในสมุดกลางเก่ากลางใหม่ให้เรากลับไปบ้าน แถมยังสั่งเราเจ้าของสมุดฝากเงินอีกว่า เดื่อนหนึ่งถอนได้ครั้งเดียวนะ ถ้าถอนสองครั้ง จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเอากับมันสิ แถมยังพูดอีกว่าดอกเบียนั้นขึ้นตามใจกูนะ เวลาจะเบิกก็ยากเย็นต้องกรอกโน่นกรอกนี่ คนเป็นพยาน คนค้ำประกัน จิปาถะ แต่เวลาฝากโคตรง่ายเลย ทั้งคนฝาก และคนกู้ก็โกรธกันไปพักหนึ่งเดี๋ยวก็ไปฝากอีก และกู้อีกไม่รู้จะจบสิ้น (เพราะมันหลอกว่าจะเพิ่มตัวเลขในสมุดให้อีก)
                                       
                                                               เงินเก่า
     การฝากเงินก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ฝากมากเกินไปแล้วตัวเองมานั่งประหยัดนั้นผมว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะชีวิตที่เราจะใช่จ่ายหรื่อชีวิตที่ต้องประหยัด รวมถึงการมีชีวิตกับการกู้เงินใช้มันหมุนเวียน ไม่ได้อยู่นิ่ง ทุกคนวิ่งไปหาจุดสิ้นสุดของชีวิต   ถ้าในชีวิตของผมประหยัดแบบภรรยาอีกคน ทั้งผม และภรรยาคงเป็นโรคขาดอาหารแน่นอน  การฝากเงินนั้นทุกคนมีจุดมุ่งหมายต่างกันออกไป บางคนฝากเงินไว้เพื่อจุดมุ่งหมายที่ตนเองได้ตั้งหวังไว้เพื่ออะไรในชีวิต  เช่นต้องการได้ดอกผลจากเงินออม บางคนมีเงินมากไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนก็นำเงินมาฝากไว้ไม่ค่อยได้ถอนจะถอนก็เสียดาย ได้ดอกมาก็ฝากต่อไปอีก พวกนี้ในประเทศไทยของเรามีค่อนข้างมาก ดูเหมือนฉลาด แต่สหกรณ์ กับธนาคารมันฉลาดกว่า พวกฝากไม่ยอมถอนก็กินตัวเลขเข้าไป
                                             

   ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การออมเงินนั้นไม่ดี  เราต้องรู้จักนำเงินมาใช้ต่อครอบครัวและตัวเองบ้าง อย่าประหยัดจนเกินไป ประหยัดมากไปครอบครัวเดือดร้อนมันก็ไม่ดี ใช่จ่ายเกินตัวมันก็ไม่ดี กินมากเกินไปมันก็ไม่ดี มีมากเกินไปก็ไม่ดี มีน้อยเกินไปก็ไม่ดี สรุปว่าพบกันครึ่งทางนั้นดีที่สุด เราก็เป็นสุขครอบครัวก็เป็นสุข  ยิ่งบันปลายของชีวิตแล้วอย่าโกรธกันบ่อยนัก ทะเลาะกันเรื่องเงิน ๆ ทอง ก็อย่าไปใส่ใจ ให้คนในบ้านได้ใช้เงินที่เราช่วยกันหามาบ้างจะดีกว่าที่จะไปให้สหกรณ์หรือธนาคาร แม้แต่คนกู้เงินเราไปได้ใช้อย่างสบายใจส่วนเราได้กลับมาเพียงแค่ตัวเลขเจ็ดแปดหลัก บนสมุดเก่า ๆ แล้วนำมาเก็บไว้ที่บ้าน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่อาจจะทำนายได้
                                        

       แต่ถ้าคุณจะรักสหกรณ์ ธนาคาร หรือคนที่มันนำเงินของคุณไปใช้ มากกว่าคนที่คอยดูแลเป็นห่วงเป็นใยคุณก็ตามใจ เพราะชีวิตเราสองคนเหลือไม่มากแล้ว


                                          ____________________________